เทศนา อาทิตย์ที่ 5 ตค. 2025
ซีรีย์ : ต้องแบบนี้....แล้วพระเจ้าจะอวยพร
หัวข้อ: ของขวัญหรือรางวัล? รู้จักน้ำพระทัยที่แท้จริงของพระบิดา
สวัสดีครับพี่น้อง สัปดาห์นี้ ผมอยากจะเริ่มต้นด้วยคำถามง่ายๆ ที่อาจจะไม่ง่ายนักสำหรับเรา... คุณเคยรู้สึกไหมครับว่า คุณต้องพยายามทำผลงานให้ดีอยู่เสมอ...เพื่อให้ใครสักคนยอมรับ? ตัวอย่างเช่น ต้องสอบให้ได้คะแนนดีๆ ก่อน พ่อแม่ถึงจะยิ้มและภูมิใจ ต้องทำยอดขายให้ถึงเป้าก่อน เจ้านายถึงจะตบไหล่ชื่นชม...
พี่น้องที่พัก พวกเราหลายคน เติบโตมาในโลกที่สอนเราว่า "ความรัก....และการยอมรับ เป็นรางวัลของความสำเร็จ" เราต้อง "ทำ" อะไรบางอย่างให้ดีพอเสียก่อน เราถึงจะ "มีค่า" และคู่ควรพอ ที่จะได้รับสิ่งดีๆเข้ามาได้ และมันก็ไม่แปลกเลยครับ ที่เราจะเผลอเอาความคิด มายเซ็ต และความรู้สึกแบบนี้ มาใช้กับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า... เราเผลอคิดไปว่า พระเจ้าก็คงเหมือนพ่อที่เข้มงวด หรือเหมือนเจ้านายที่ถือสมุดจดคะแนน รอคอยจะให้ "รางวัล" เมื่อเราทำดี และจะ "ลงโทษ" เมื่อเราทำพลาด จนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้านั้น เต็มไปด้วยความกดดันและเคร่งเครียด ไม่มีความชื่นชมยินดีอย่างที่ควรจะเป็นเลย
แต่วันนี้ ผมอยากจะชวนพี่น้องมาพลิกมุมมองของเราใหม่ทั้งหมดครับ มาทำความรู้จัก "หัวใจที่แท้จริงของพระบิดา" ผ่านสองคำที่สำคัญที่สุด นั่นคือคำว่า "พระคุณ" และ "พระพร"
คำแรกคือ คำว่า พระพร หลายคนมีความเข้าใจผิดที่อันตราย เพราะเขามีความคิดมายเซ็ตทำนองว่า "พระพรของพระเจ้า" เปรียบเหมือน "รางวัล" ในการทำดี
หลายๆคนอธิษฐานว่า "พระเจ้าครับ ลูกกำลังพยายามทำดีไม่ทำบาป และถ้าลูกสละไปรับใช้พระองค์ หรือเลิกทำบาปเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้ ขอโปรดปลดหนี้ให้ลูกด้วยเถิด ขอโปรดอวยพรการเงินให้ลูกด้วยเถิด" นี่คือลักษณะของการพยายามทำอะไรบางอย่าง เพื่อแลกเปลี่ยนเอารางวัล เพราะคิดว่าการอวยพรคือรางวัลตอบแทนครับ
หรือบางคนอธิษฐานว่า "พระเจ้าคัรบ ถ้าลูกไปโบสถ์สม่ำเสมอทุกอาทิตย์ไม่ขาด ขอทรงรักษาโรคเรื้อรังนี้ให้ลูกด้วย" นี่ก็เป็นการมองว่า "พระพร" คือ "รางวัล" ของการทำอะไรบางอย่างเพื่อแลกเปลี่ยนเอารางวัลจากการกระทำนั้นๆ แต่คุณรู้มั๊ยครับว่า ถ้าคุณมีความคิดมายเซ็ตแบบนี้ มันก็คือความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระเจ้าแบบลูกจ้างและนายจ้าง แบบ "เอาผลงาน มาแลก รางวัล" นั่นเองครับ
แต่ว่า พี่น้องที่รักครับ นี่ไม่ใช่วิธีการของคริสเตียนในพันธสัญญาใหม่เลยนะครับ! แต่นี่เป็นวิถีของโลก ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แบบเอาผลงานมาแลกรางวัล แต่ความจริงก็คือ "การอวยพร" เป็นผลลัพธ์ของ "พระคุณ" ครับ หัวใจของข่าวประเสริฐในพันธสัญญาใหม่ เริ่มต้นที่ "พระคุณ" นะครับ
พระคุณคืออะไร ? พระคุณก็คือ การที่พระเจ้าประทานสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เรา ที่เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุดก็คือ พระเจ้าประทานพระบุตรองค์เดียว คือองค์พระเยซูคริสต์ ให้แก่ชาวโลกที่เป็นคนบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า ในขณะที่เรายังไม่ใช่คนดี ยังไม่ใช่คนที่สมควรได้รับพระคุณเลยแม้แต่น้อย เราทุกคนเป็นคนบาปที่สมควรถูกพิพากษาลงโทษ แต่พระเจ้ากลับยกโทษบาปให้เราเปล่าๆ รับเราเป็นลูก...โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร เพราะพระเยซูรับโทษบาปแทนเราแล้ว นี่เป็นของขวัญฟรีๆ ที่เราไม่สามารถทำอะไรเพื่อแลกมาได้เลย พระคุณก็คล้ายกับตอนที่แม่เราคลอดเราออกมาใหม่ๆ เราเป็นทารกที่ทำอะไรไม่ได้เลย แต่พ่อแม่ก็รักเราและเลี้ยงดูเรา โดยไม่ได้ต้องการอะไรแลกเปลี่ยนจากเราเลย อาเมนมั๊ยครับพี่น้อง
ส่วน "พระพร" คือสิ่งดีๆ ทั้งหมดที่หลั่งไหลตามมา หลังจากที่เราได้รับ "พระคุณ" กางเขนของพระคริสต์นั้นแล้วครับ!
ถ้าคุณรอดจากวิกฤตของหนี้สินอย่างอัศจรรย์... นั่นไม่ใช่ "รางวัล" ที่คุณทำดี แต่เป็น "พระพร" ที่ไหลล้นมาจาก "พระคุณ" ของพระเจ้าที่ตอบคำอธิษฐานคุณ เพราะคุณรับเชื่อพระเยซู และคุณจึงได้รับการอภัยจากพระเจ้า ได้กลับมามีความสัมพันธ์แบบลูกกับพ่อ ไม่ใช่แบบลูกจ้างกับนายจ้างแล้ว
ถ้าคุณสุขภาพที่ดี การงานที่ดี มีครอบครัวที่อบอุ่น มีสันติสุขในใจ... สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่รางวัลที่คุณทำคะแนนทำแต้มสะสมความดี แล้วเอาคะแนนสะสมความดีนั้น มาแลกเปลี่ยนกับ "พระพร" ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพนะครับ พระคุณ คือการที่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้ฉีกสัญญาการเป็นทาสทั้งหมดของคุณทิ้ง แล้วรับคุณเข้ามาเป็น "ลูก" ในวังของพระองค์
ส่วน พระพร คือสิทธิทุกอย่างที่คุณจะได้รับในฐานะลูก คือการได้นั่งร่วมโต๊ะเสวยกับกษัตริย์ การได้สวมเสื้อผ้าที่ดีที่สุด มีส่วนในทรัพย์สมบัติของพระองค์ในฐานะลูก เพราะกษัตริย์องค์นี้รักคุณ จึงทำแบบนี้ จะเห็นว่า คุณไม่ได้พยายามดิ้นรนทำความดี เพื่อจะได้เป็นลูก แต่เพราะคุณได้เป็นลูกแล้ว เราจึงอยากทำสิ่งที่ดีที่สุด ในฐานะลูก เพื่อถวายเกียรติแด่พระบิดาของคุณครับ!
พระเยซูได้เล่าเรื่องราวที่สะท้อนหัวใจของพระบิดาได้ดีที่สุด ในเรื่อง "บุตรน้อยหลงหาย" หายคนคุ้นๆกับคำอุปมานี้ แต่ผมขอนำมาแบ่งปันซ้ำอีกในวันนี้ เพื่อตอกย้ำความเข้าใจเรื่องนี้ครับ
ลูกชายคนเล็ก ที่ "สอบตกทุกวิชา" ของชีวิต ผลาญมรดกที่ขอจากพ่อจนหมดสิ้น ปกติมรดกจะได้ตอนพ่อแม่ตายแล้วใช่ไหมครับ แต่มรดกนี้ เขาขอตั้งแต่พ่อยังไม่ตายเลย แล้วก็ออกจากบ้านไปแดนไกล ใช้ชีวิตตามใจตัวเองเต็มที่ จนเงินหมดเกลี้ยง ต้องไปกินข้าวหมู เนื้อตัวสกปรกมอมแมม เขารู้สึกสมเพชตัวเอง ที่เคยเป็นถึงลูกเศรษฐี แต่กลับต้องมาอยู่ในสภาพคนใช้ที่ตกต่ำสุดๆ ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจกลับบ้าน การตัดสินใจกลับบ้านนี้ ทำด้วยท่าทีอะไรครับ ก็ด้วยท่าทีที่แค่หวังจะเป็นเป็น "คนงาน" เพื่อชดใช้ความผิดที่เขาทำกับพ่อ...นี่คือความคิดมายเซ็ตของพวกเราหลายคนในยุคนี้ ที่คิดว่า ฉันต้องทำอะไรบางอย่างเป็นผลงานก่อน เพื่อแลกกับ "การยอมรับและรางวัล"
แต่ว่า พ่อทำอย่างไรครับ? พ่อไม่ได้ยืนรอที่หน้าบ้านพร้อมกับไม้เรียว พ่อไม่ได้ถามว่า "แกจะทำงานชดใช้ให้ฉันได้อย่างไร?"
พระเยซูเล่าต่อไปว่า "เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาก็เห็นเขาและมีใจสงสาร วิ่งออกไปกอดคอและจูบเขา"
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง... นี่คือหัวใจของพระบิดา พระองค์ไม่ได้รอให้เราทำตัวดีพร้อมก่อน แต่พระองค์ "วิ่ง" ออกมาหาเรา ตั้งแต่เรายังสกปรกมอมแมมอยู่เลย ความรักของพระองค์ไม่ได้เริ่มต้นที่ผลงานของเรา แต่เริ่มต้นที่ "พระคุณ" ของพระองค์ล้วนๆ
แล้วเราจะใช้ชีวิตอย่างไร?
วันนี้ ผมอยากหนุนใจให้เราเลิกใช้ชีวิตเหมือนลูกจ้างที่คอยทำคะแนนเพื่อเอาใจเจ้านาย และเริ่มใช้ชีวิตเหมือน "ลูก" ที่อิ่มเอมใจในความรักของพระบิดาครับ
ดังนั้น ขอให้คุณหยุดดิ้นรน "ทำนั่นทำนี่เพื่อจะได้รับความรัก เพื่อจะได้รับการยอมรับ หรือเพื่อจะได้รับรางวัล" แต่ทำนั่นทำนี่เพราะว่า คุณรู้อยู่แล้วว่า พระองค์ทรงรักคุณ คุณจึงทำครับ"
การอธิษฐาน การอ่านพระคัมภีร์ การรับใช้ การขยันทำงานของคุณ ไม่ใช่เป็นการทำเพื่อ "จ่ายหนี้" พระคุณ ที่ได้รับ แต่เป็นการ "ขอบคุณ" สำหรับพระคุณที่เราได้รับมาเปล่าๆ
เมื่อคุณทำผิดพลาด อย่าวิ่งหนีพระองค์ด้วยความกลัว แต่จงวิ่งกลับบ้าน เพราะเรารู้ว่ามีพระบิดาที่พร้อมจะวิ่งออกมาสวมกอดเราเสมอ
พี่น้องครับ พระเจ้าไม่ได้มองเราผ่านแว่นของผลงาน แต่พระองค์มองเราผ่านสายตาแห่งความรักและพระคุณที่สมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ ในสายตาของพระองค์ เราไม่ใช่ลูกจ้าง แต่เราคือ "ลูก" อันเป็นที่รัก...ตลอดไป
ขอให้เรากลับมาหาพระองค์ในสัปดาห์นี้ ด้วยหัวใจของความเป็นลูก ขอให้เราสนิทสนมกับพระองค์ ไม่ใช่เพราะหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องทำ แต่เพราะความรักพระองค์ แล้วเราจะได้สัมผัสกับชีวิตที่ "อิ่มเอมใจ" อย่างแท้จริง
คราวนี้มาทำความเข้าใจว่า "พระพร" คืออะไร? (What is a Blessing?)
หลายครั้งเรามักจำกัดความ "พระพร" ไว้แค่เรื่องดีๆ ที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ เช่น สุขภาพที่ดี การงานดี การเงินที่อุดมสมบูรณ์ หรือครอบครัวที่อบอุ่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นพระพรจริงๆ ครับ แต่ในมุมมองของพันธสัญญาใหม่ "พระพร" นั้นลึกซึ้งและกว้างขวางกว่านั้นมาก เราสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับครับ:
พระพรระดับแรกสุดคือ พระพรฝ่ายวิญญาณ (Spiritual Blessings)ครับ นี้เป็นรากฐานของทุกสิ่ง
นี่คือพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นมรดกที่เรา ได้รับแล้วอย่างสมบูรณ์ ในวันที่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์ ไม่สามารถถูกพรากไปได้ และเป็นที่มาของพระพรอื่นๆ ทั้งหมด พระธรรม เอเฟซัส 1:3 กล่าวว่า พระเจ้า "...ทรงอวยพรเราในพระคริสต์ด้วยพระพรฝ่ายวิญญาณนานาประการในสวรรคสถาน"
ตัวอย่างพระพรฝ่ายวิญญาณที่มาทางความเชื่อในพระคุณกางเขนพระคริสต์ ก็ได้แก่ การได้รับการอภัยบาป, การถูกนับว่าชอบธรรม การได้เป็นบุตรของพระเจ้า, การถูกย้ายออกจากอาณาจักรความมืดมาสู่อาณาจักรความสว่างแล้ว การได้มีวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ามาประทับอยู่ด้วย, , การได้รับสันติสุขที่เกินความเข้าใจ, การเชื่อมต่อเข้าถึงพระเจ้าได้โดยตรง การได้รับความรอดจากการถูกพิพากษาและหลังหมดเวลาบนโลก ก็จะได้มีชีวิตนิรันดร์บนสวรรค์กับพระเจ้า นี่คือพระพรที่ได้รับแล้วมาทางความเชื่อในพระเยซู
พระพรในระดับที่สองคือ พระพรในชีวิตประจำวัน (Daily Blessings) การสำแดงความรักของพระบิดา
นี่คือพระพรที่จับต้องได้ ซึ่งพระเจ้าประทานให้เราในฐานะ "ลูก" เพื่อการดำรงชีวิตในโลกนี้ เป็นการสำแดงถึงความรักและความเอาใจใส่ของพระบิดาที่มีต่อเรา
ตัวอย่างเช่น พระบิดาจะจัดเตรียมการงาน การเงิน,ให้แก่คุณ มีครอบครัวและมิตรสหายที่ดี, มีสติปัญญาในการทำงานและการตัดสินใจ, และได้รับการปกป้องจากภยันตราย
พระพรในระดับที่สามคือ พระพรที่มาในรูปแบบของบททดสอบ (Blessings in Disguise)
นี่คือพระพรที่เข้าใจยากที่สุด แต่ล้ำค่าอย่างยิ่งครับ บางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนเป็น "ปัญหา" หรือ "ความทุกข์ยาก" ก็คือพระพรยิ่งใหญ่ชนิดหนึ่ง ที่พระเจ้าจะอวยพรเรา จึงอนุญาตให้เกิดขึ้น เพื่อปั้นแต่งเราให้มีคุณสมบัติที่จะได้รับพระพรยิ่งใหญ่นั้นๆ
ใน ยากอบ 1:2-4 หนุนใจเราให้ "ถือว่าความทุกข์ยากลำบากนั้น เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก" ดังนั้น เมื่อเผชิญการทดลอง เพราะมันทำให้เกิดความทรหดอดทนและสร้างอุปนิสัยที่สมบูรณ์ขึ้นในตัวเรา
และใน โรม 5:3-4 สอนเราว่า ความทุกข์ยากนั้นทำให้เกิดความหวังใจในพระเจ้าที่แท้จริง ไม่ใช่ความหวังจอมปลอม แต่ความหวังที่แท้จริงในพระเจ้า จะเป็นสมอเรือยึดนาวาชีวิตเราให้มั่นคงไม่อัปปางลงครับ
ตัวอย่างเช่น การถูกปฏิเสธในวันนี้ หรือพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานของคุณในวันนี้ อาจเป็นพระพรที่พระเจ้าปกป้องเราจากสิ่งที่ไม่ดีที่จะมากระทบชีวิตเรา หรือกำลังอยู่ในกระบวนการจัดเตรียมสิ่งที่ดีกว่าให้ในวันหน้า การเจ็บป่วยอาจเป็นพระพรที่ทำให้เราได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้าอย่างสุดใจ เหมือนที่เปาโลกล่าวไว้ว่า เขามีหนามในเนื้อและอธิษฐานแล้วอธิษฐานอีกแต่พระเจ้าไม่ตอบ ซึ่งกลายเป็นสิ่งเสริมสร้างให้เขาถ่อมใจยอมจำนนต่อพระเจ้าเสมอครับ (แต่ก็ไม่ใช่ทุกความเจ็บป่วย พระเจ้าจะประสงค์เช่นนี้ ถ้าคุณเจ็บป่วย ก็ให้คุณอธิษฐานขอการรักษาด้วยความเชื่อวางใจในพระคุณความรักของพระเจ้านะครับ)
คราวนี้มาดูว่า แล้วเราจะได้รับ "พระพร" อย่างไร? (How Do We Receive Blessings?)
นี่คือคำถามที่สำคัญที่สุด เพราะหลายๆคนชอบมีมายเซ็ตคิดว่า ต้องทำอะไรบางอย่างแลกเปลี่ยนก่อน จึงจะได้รับพระพร แต่ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นครับ คำตอบต้องเริ่มต้นจากรากฐานของ "พระคุณ" คุณต้องปรับเปลี่ยนความคิดมายเซ็ตใหม่ว่า คุณไม่ได้พยายาม "ทำนั่นทำนี่" เพื่อจะ "ได้รับ" การอวยพรพร แต่คุณแค่ต้อง "จัดตำแหน่ง position ตัวเองให้อยู่ใน "ช่องทาง" หรือ Channel ที่พระพรของพระเจ้าจะไหลเข้ามาในชีวิตคุณได้อย่างเต็มที่ ในฐานะที่คุณเป็น "ลูก" ที่รักพระบิดาครับ มันกลับกันนะครับ ถ้าคุณพยายามทำนั่นทำนี่เพื่อแลกเปลี่ยนรับเอาพระพร นี่เป็นความคิดมายเซ็ตแบบคนเคร่งศาสนาครับ แต่เมื่อคุณเป็นลูกพระเจ้าแล้ว คุณต้องเปลี่ยนความคิดมายเซ็ตใหม่ครับ
ช่องทางหรือ channel ที่พระพรจะหลั่งไหลมาสู่คุณนั้น ตามหลักการของพันธสัญญาใหม่ ก็ได้แก่:
ช่องทางแรกคือ การดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์เหมือนพ่อกับลูกครับ (Through Relationship)
พระพรทั้งหมดเริ่มต้นจากความใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้า ยิ่งเราใช้เวลาในการอธิษฐาน, อ่านพระคัมภีร์นมัสการ, และใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์มากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งรู้จักน้ำพระทัยของพระบิดา และสามารถรับเอาพระพรที่พระองค์ทรงปรารถนาจะประทานให้เราได้ง่ายขึ้น แต่เอ๊ะ นี่ก็คือการพยายามทำนั่นทำนี่เพื่อจะได้รับพระพรไม่ใช่หรือ ไม่ๆๆๆ ไม่ใช่นะครับ การที่คุณใช้เวลาอธิษฐาน เฝ้าเดี่ยว อ่านพระคัมภีร์ นมัสการ ใคร่ครวญพระวจนะ นี่เป็นกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์นะครับ มันจะทำให้คุณสนิทสนมรู้ใจพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ คุณไม่ได้พยายามทำเพื่อจะได้รับการอวยพร แต่คุณทำเพื่อจะมีความสนิทสนมรู้ใจพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และผลจากการที่คุณรู้ใจพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆนี่แหละครับ มันเปิดช่องทางให้พระพรไหลเข้ามาสู่ชีวิตคุณได้โดยอัตโนมัติ ถ้าคุณไม่รู้ใจพระเจ้า ท่อพระพรก็ตีบตัน แต่ถ้าคุณรู้ใจพระเจ้า เพราะมีความสนิทสนมกับพระองค์ ท่อก็จะไม่ตีบตัน และพระพรก็จะหลั่งไหลเข้าท่อของคุณมากมาย จนไหลออกไปสู่คนอื่นได้ครับ ดังนั้น ช่องทางแรกที่จะได้รับพระพรคือ การหมั่นสร้างความสัมพันธ์ให้สนิทสนมกับพระเจ้าครับ ไม่ใช่ทำเพื่อแลกเปลี่ยนเอาพระพร แต่ทำเพราะคุณได้อยู่ในสถานะการเป็นลูกพระเจ้าแล้ว คุณก็ต้องเข้ามาสร้างความสนิทสนมกับพ่อครับ
ช่องทางที่สองคือ การเชื่อฟัง และเป็นการเชื่อฟังด้วยความเชื่อ (Through Faith-filled Obedience) มีหลายคนสอนว่า การเชื่อฟังทำให้ได้รับการอวยพร ตรงนี้ถูกครึ่งนึงครับ เพราะหลายๆคนเมื่อได้ยินแบบนี้ ก็พยายามจะเชื่อฟัง เพื่อหวังให้พระเจ้าอวยพร คุณพยายามไปโบสถ์ เพราะคุณคิดว่า นี่เป็นการเชื่อฟังพระวจนะ แล้วเดี๋ยวพระเจ้าจะอวยพร คุณพยายามถวายสิบลด เพราะคุณคิดว่า นี่เป็นการเชื่อฟัง แล้วเดี๋ยวพระเจ้าจะอวยพรการเงินให้คุณ คุณเป็นแบบนี้อยู่หรือเปล่าครับ
ถ้าคุณคิดแบบนี้ คือคิดว่า ต้องพยายามเชื่อฟังให้ได้เยอะที่สุด แล้วจะได้รับรางวัลของการอวยพรจากการเชื่อฟัง คุณทำถูกเพียงครึ่งเดียวครับ เพราะถ้าคุณคิดแบบนี้ทำแบบนี้ คุณกำลังเป็นคริสเตียนศาสนาสุดๆเลยครับ แบบเดียวกับพวกธรรมจารย์ฟาริสีเลย
อ้าว ถ้างั้น ไม่ต้องเชื่อฟัง ก็จะได้รับการอวยพรหรือ เปล่าเลยนะครับ อย่าเข้าใจสุดโต่งไปอีกด้านหนึ่ง คือยังไงๆ พระเจ้าก็พอพระทัยลูกที่เชื่อฟังพระองค์
แต่ปัญหาคือ อย่าพยายามเชื่อฟังเพื่อหวังจะได้รับการอวยพร เพราะการเชื่อฟังไม่ใช่การดิ้นรนพยายามทำตามกฎหรือตามพระวจนะ เพื่อหวังแลกกับรางวัลที่เป็นพระพร แต่การเชื่อมันเป็นการที่ "ลูก" เชื่อใจในสติปัญญาและความรักของ "พ่อ" เมื่อพ่อทรงนำให้เราทำสิ่งใด และเราก้าวออกไปทำด้วยความเชื่อวางใจนั้น ซึ่งมันก็จะเป็นการที่เรากำลังเดินเข้าไปในเส้นทางที่พระองค์ได้ทรงเตรียมพระพรไว้ให้เราแล้ว เห็นมั๊ยครับพี่น้อง มันเป็นเรื่องของแรงจูงใจในการเชื่อฟังครับ ถ้าคุณพยายามเชื่อฟัง ด้วยแรงจูงใจที่หวังจะได้รับพระพร คุณก็เป็นคนเคร่งศาสนา แต่ถ้าคุณมีแรงจูงใจของการเชื่อฟัง เพราะคุณรักพ่อ และอยากทำสิ่งที่พ่อบอกให้ทำด้วยความเต็มใจ เพราะไว้วางใจในความปราถนาดีของพ่อ แบบนี้ต่างหาก จึงเป็นการเชื่อฟังด้วยแรงจูงใจที่ถูกต้อง แล้วพระพรจะหลั่งไหลมาสู่ชีวิตคุณเองโดยอัตโนมัตครับ
ตัวอย่างเช่น คุณไปโบสถ์ เพราะคุณรักพ่อ และรักพี่น้องคนอื่น คุณถวายสิบลด เพราะคุณรักพ่อ และอยากให้เงินที่ถวาย เป็นพระพรแก่พี่น้องคนอื่นๆ เห็นมั๊ยครับพี่น้อง นี่เป็นแรงจูงใจของการเชื่อฟัง ที่มาจากความรักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้าน แรงจูงใจที่ถูกต้องแบบนี้แหละ จะทำให้พระพรพระเจ้าหลั่งไหลเข้ามาสู่คุณอัตโนมัติ โดยไม่ใช่แบบคนเคร่งศาสนาเลยครับ
ช่องทางรับพระพรช่องทางที่สามคือ การเป็นผู้อารักขาที่สัตย์ซื่อ (Through Faithful Stewardship)
พระเยซูทรงสอนในคำอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ว่า "คนที่สัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งให้เขาดูแลของมาก" (มัทธิว 25:21) เห็นมั๊ยครับพี่น้อง เมื่อคุณบริหารเวลาของคุณให้ดี, ดูแลทรัพย์สินธุรกิจการงานให้ดี, และใช้พรสวรรค์หรือของประทานที่พระเจ้ามอบให้คุณอย่างดีที่สุด คุณก็กำลังเปิดประตูให้พระองค์ไว้วางใจและมอบพระพรที่ใหญ่ขึ้นให้คุณดูแลในวันข้างหน้า แต่ก็อีกแหละ มันสำคัญที่แรงจูงใจด้วยนะครับ ถ้าคุณพยายามดิ้นรนที่จะเป็นผู้อารักขาสัตย์ซื่อในสิ่งเล็กน้อย โดยหวังจะได้รับรางวัลเป็นการอวยพร คุณก็กำลังไปผิดทาง เพราะแรงจูงใจมันผิดครับ แต่คุณอารักขาสัตย์ซื่อในสิ่งเล็กน้อย ด้วยแรงจูงใจที่มาจากความรักและขอบพระคุณพระเจ้าในสิ่งที่มี แรงจูงใจแบบนี้ จึงจะทำให้พระพรหลั่งไหลมาสู่คุณได้โดยอัตโนมัติครับ
ช่องทางรับพระพรช่องทางที่สี่คือ การมีหัวใจแห่งการให้ด้วยใจกว้างขวาง (Through a Giving Heart)
นี่คือหลักการ "หว่านและเกี่ยว" ที่พระคัมภีร์สอนไว้ชัดเจน เมื่อเราแบ่งปันเวลา, หรือสละเวลาไปให้กำลังใจคนอื่น, หรือแบ่งปันทรัพย์สินของเรา เพื่อแผ่นดินของพระเจ้า และเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นด้วยใจกว้างขวาง เรากำลังหว่านเมล็ดพืชลงในดินดี ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทำให้เกิดผลอย่างอุดมสมบูรณ์กลับคืนมาสู่ชีวิตเรา (2 โครินธ์ 9:6-8) แต่ก็อีกแหละ มันก็อยู่ที่แรงจูงใจอีก ถ้าคุณแจกจ่ายแบ่งปันด้วยใจกว้างขวาง แต่คาดหวังว่า เพื่อคุณจะได้รับรางวัลคือการอวยพรจากพระเจ้าตอบแทน มันก็ไปผิดทางอีกแหละครับ มันเป็นแรงจูงใจที่ผิด และมีผลให้ท่อรับพระพรของคุณตีบตัน แต่ถ้าคุณหว่านหรือแจกจ่ายแบ่งปันด้วยใจกว้างขวาง ซึ่งมาจากความรักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้านจริงๆ ไม่ได้หวังรางวัล แรงจูงใจแบบนี้ต่างหากที่จะทำให้พระพรหลั่งไหลมาสู่ชีวิตคุณได้โดยอัตโนมัติ
โดยสรุปแล้ว การได้รับพระพรไม่ใช่การทำตามสูตรสำเร็จ หรือตามคำสั่งจากพระวจนะในคัมภีร์ไบเบิล แต่คือการดำเนินชีวิตอย่างเป็น "ลูก" ที่รักและไว้วางใจใน "พระบิดา" และทำทุกสิ่งด้วยแรงจูงใจที่มาจากความรักพระบิดาและรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองครับ
บทสรุปการแบ่งปันวันนี้ รวบยอดเป็นประโยคเดียวได้ว่า คุณไม่ได้ทำนั่นทำนี่เพื่อให้พระเจ้ารักและอวยพรคุณ แต่คุณทำ เพราะคุณรู้อยู่แล้วว่า พระเจ้ารักคุณมากแค่ไหนเพียงไร คุณจึงทำไม่ใช่เพราะจะได้รับการอวยพร แต่เพราะคุณรักพระองค์และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง แล้วพระพรจะหลั่งไหลมาสู่คุณเองโดยอัตโนมัติครับ
ให้เราอธิษฐานด้วยกัน
ข้าแต่พระบิดาเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรักและพระคุณ...เราขอบคุณพระองค์สำหรับการเปิดเผยสำแดงที่ทำให้เราเข้าใจหัวใจของพระองค์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นในวันนี้ ขอบคุณสำหรับ พระคุณ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการที่พระองค์ทรงประทานองค์พระเยซูคริสต์เพื่อเรา ในขณะที่เรายังเป็นคนบาปและไม่สมควรได้รับเลยแม้แต่น้อย
ขอบคุณที่โดยทางพระโลหิตของพระเยซูนั้น พระองค์ทรงฉีกสัญญาการเป็นทาสของเราทิ้ง และรับเราเข้ามาเป็น "ลูก" อันเป็นที่รักในครอบครัวของพระองค์
พระเจ้าข้า เราขอสารภาพว่าบ่อยครั้งเราเคยดำเนินชีวิตเหมือน "ลูกจ้าง" ที่พยายามทำความดี ทำผลงาน เพื่อแลกกับความรัก การยอมรับ และ พระพร จากพระองค์ วันนี้เราขอวางความคิดที่เหนื่อยล้าและความกดดันของการเคร่งศาสนาลงที่แทบพระบาทของพระองค์
ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประทับตราความจริงนี้ไว้ในจิตใจส่วนลึกของเราว่า เราเป็นที่รักแล้ว เราเป็นที่ยอมรับแล้ว และเราได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณทุกอย่างแล้วในพระคริสต์
ขอให้การเชื่อฟัง การรับใช้ และการแบ่งปันของเราในทุกๆ วันนี้ ไม่ใช่การกระทำเพื่อ "แลกเปลี่ยน" เอารางวัลเป็นพระพร แต่เป็นการ "ตอบสนองต่อพระคุณความรักของพระองค์" ที่ท่วมท้นออกมาจากใจของลูกที่ได้รักและไว้วางใจในพระบิดา
ขอให้เราดำเนินชีวิตทุกวันด้วยสันติสุขและความชื่นชมยินดีจากการพักสงบในพระคุณของพระองค์ และเป็นท่อพระพรที่ไหลล้นไปสู่ผู้อื่นอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อพระนามของพระองค์จะได้รับเกียรติสูงสุด เราขอบพระคุณและสรรเสริญพระองค์สำหรับทุกสิ่ง ในพระนามองค์พระเยซูคริสต์เจ้า... อาเมน
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
เทศนาโดย...คุณบิ๊ก (นักธุรกิจคริสเตียน)