สวัสดีครับพี่น้อง คลิปนี้เป็นตอนแรกสุดของซีรีย์ "เติมพลังชีวิต ด้วยการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ "เอเฟซัส"" ซึ่งเป็นการเฝ้าเดี่ยวด้วยจดหมายฝากของท่านเปาโลไปถึงคริสตจักรที่เบมืองเอเฟซัส ขอหนุนใจให้ติดตามไปด้วยกันจนจบซีรีย์นี้นะครับ ถ้าคุณไม่ต้องการพลาด เวลาผมอัพโหลดคลิปถัดไป ก็กดกระดิ่งกดติดตามยูทูปช่อง "พระเจ้าแสนอัศจรรย์" นี้ไว้เลยนะครับ
ผมจะเริ่มจากข้อ 1 โดยจะอ่านช้าๆทีละข้อ ให้คุณอธิษฐานในใจด้วยนะครับ ขอการเปิดเผยเรม่าห์พิเศษจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งจะทำให้การเฝ้าเดี่ยวของคุณไม่แห้งแล้ง แต่เต็มไปด้วยความสดชื่นจากการได้เขาสัมพันธ์สนิทกับพระวิญญาณของพระเจ้าที่อยู่ในตัวคุณ
การเฝ้าเดี่ยวด้วยการอ่านหนึ่งข้อแล้วหยุด จากนั้นอธิษฐานถามพระวิญญาณ ขอเรม่าห์พิเศษ แล้วสงบนิ่ง ฟังเสียงพระองค์ ก็จะเป็นการสังเกตุความคิดที่ปิ๊งแวบขี้นมาในใจ โดยที่คุณไม่ได้ตั้งใจคิด ถ้ามาจากพระวิญญาณ มักเป็นความคิดที่หนุนจิตชูใจคุณ ให้กำลังใจ หรือเสริมสร้างคุณให้เติบโตขึ้นในความเชื่อวางใจ เติบโตขึ้นในความรัก มีความหวังในพระสัญญา หรือเตือนสติให้สำนึกผิดในบาป ปรับเปลี่ยนอุปนิสัย ทัศนคติมายเซ็ต หรืออาจเป็นการทรงนำ เร้าใจให้คุณทำอะไรบางอย่าง หรือประทานสติปัญญา ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ดีๆ ที่ช่วยให้คุณแก้ปัญหาชีวิตในขณะนั้นๆได้ นี่แหละที่เรียกว่า เรม่าห์พิเศษครับ ดังนั้น ขอหนุนใจว่า ให้คุณเตรียมสมุดปากกาไว้ เมื่อได้ยินเสียงพระองค์ เป็นเรม่าห์พิเศษอะไร ก็ให้จดลงสมุดไว้นะครับ
ในคลิปแบ่งปันเรม่าห์เฝ้าเดี่ยวซีรีย์ต่างๆของผม เป็นเสียงของพระวิญญาณที่ตรัสในใจผมเป็นส่วนตัว และผมจดบันทึกไว้แล้วนำมาแบ่งปันโดยจัดทำเป็นคลิปเสียงอัพโหลดไว้ในยูทูปช่องนี้ คุณอาจได้รับเรม่าห์ใกล้เคียงกับผม จนร้องในใจว่า "เหมือนกันเลย" หรือคุณอาจได้รับเรม่าห์พิเศษที่แตกต่างจากผมก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันนะครับ และถ้าคุณอยากร่วมสนุกกับพี่น้องคนอื่นๆ ก็แบ่งปันได้ โดยพิมพ์เรม่าห์ที่คุณได้รับในคอมเม้นท์ใต้คลิปนี้ เพื่อพี่น้องคนอื่นๆจะได้รับพระพรไปด้วย
ขอเริ่มจาก เอเฟซัส 1 ข้อแรกสุด ผมจะอ่านช้าๆ แล้วคุณใคร่ครวญอธิษฐานถามพะวิญญาณนะครับ
"ข้าพเจ้าเปาโล ผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เรียน ธรรมิกชน ผู้มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระเยซูคริสต์"
พี่น้องที่รักครับ เมื่อผมหยุดใคร่ครวญดูแล้ว ก็ได้ความเข้าใจในข้อ 1 คือ ท่านเปาโลพูด 2 ประโยค ประโยคแรกเป็นการแนะนำตัวเอง ประโยคที่สองเป็นบ่งบอกว่า จดหมายฝากฉบับนี้เขียนถึงใคร ซึ่งก็คือเขียนถึงธรรมิกชน
อ่านจบ ผมก็อธิษฐานขอเรม่าห์พิเศษจากพระวิญญาณ แล้วหยุดนิ่งชัวขณะไปกินกาแฟ รอพระวิญญาณพูดอะไรบางอย่างในใจ
(ถ้าคุณไม่มีเวลาอ่าน ก็สามารถรับฟังได้จากคลิปเสียงข้างล่างนี้ แต่ถ้าคุณชอบอ่าน ก็อ่านต่อด้านล่างได้ตามอัธยาศัยครับ)
พี่น้องที่รักครับ คือคุณต้องเข้าใจก่อนนิดนึงว่า การเฝ้าเดี่ยวไม่ใช่การศึกษาพระคัมภีร์ ที่เรียกว่า bible study ไม่ใช่ช่วงเวลาพยายามศึกษาพระคัมภีร์ให้แตกฉาน แต่เป็นช่วงเวลาพัฒนาความสัมพันธ์กับพระเจ้านะครับ โดยผ่านการสนทนาสื่อสารสองทางกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทับอยู่ในตัวคุณ คุณทำบ่อยๆต่อเนื่องทุกๆวัน หูฝ่ายวิญญาณของคุณเปิดออก คุณจะมีทักษะในการฟังเสียงของพระองค์ชัดและถูกต้องขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคุณหยุดนิ่ง หยุดความคิดฟุ้งซ้านชั่วขณะ แล้วเฝ้าสังเกตุความคิดที่ปิ๊งแวบขึ้นมาเองโดยไม่ได้ตั้งใจคิด นั่้นแหละพระเจ้ากำลังพูดกับคุณในหัวของคุณครับ
สำหรับผม เรม่าห์ที่ผมได้รับคือ
ประโยคแรก ท่านเปาโลพูดว่า"ข้าพเจ้าเปาโล ผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า"
ตรงนี้เปาโลยืนยันสถานะของตนว่าเป็น อัครทูต คำว่าอัครฑูต หมายถึง ผู้ถูกส่งออกไป หรือ ก็คือเป็นทูตของพระเยซู หรือเป็นตัวแทนของพระเยซู นั่นเอง ไม่ใช่เพราะเปาโลสมัครใจเอง แต่เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเรียกและส่งออกไป พระวิญญาณสอนผมว่า การเป็นผู้รับใช้พระเจ้า มาจากการทรงเรียกของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะเรียนจบมีวุฒิบัตรจากสถาบันพระคริสตธรรม หรือมีตำแหน่งที่ได้รับจากคริสตจักรนะครับ มันเริ่มจากถูกพระเจ้าทรงเรียกก่อน อาจเป็นการสำแดงพิเศษ หรืออาจเป็นเพียงการเร้าใจภายใน ทำให้คุณถูกกระตุ้น มีแรงบันดาลใจให้อยากเรียน แล้วพระองค์จะทรงนำให้คุณไปเรียน ถ้าพระองค์มีแผนให้คุณรับใช้แบบฆารวาส ก็จะนำให้เข้าเรียนหลักสูตรสร้างสาวกของคจ. แต่ถ้าพระองค์มีแผนจะใช้คุณรับใช้เต็มเวลาในโบสถ์ พระองค์จะทรงนำคุณไปเข้าเรียนที่สถาบันพระคริสตธรรมเอง นี่คือที่ท่านเปาโลพูดว่า เขาเป็นอัครฑูตตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่ตามใจตัวเอง
ถึงตรงนี้ พระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึงเหตุการณ์ในอดีต ช่วงที่ธุรกิจของผมที่ภูเก็ตเจ๊งเพราะผลกระทบจากสึนามิ ตอนนั้นชีวิตผมแตกสลาย จนเฝ้าถามพระเจ้าว่า ธุรกิจผมเจ๊ง แต่พระองค์เซฟเก็บชีวิตผมไว้ทำไม ทำไมผมไม่ตายไปพร้อมๆกับคนเป็นหมื่นที่ตายที่หาดป่าตองและเขาหลัก พระองค์มีแผนการและพระประสงค์อะไร? ผมเฝ้าถามทุกวันจนวันที่ 40 ผมก็ได้รับคำตอบคือ ผมได้ยินเสียงพูดกับหูกับเลยว่า "อ่านฮักกัย" ซึ่งหมายถึงให้ผมจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังใหม่ ให้ความสำคัญกับด้านฝ่ายวิญญาณเป็นอันดับแรก และด้านธุรกิจการงานหรือครอบครัวหรืออื่นๆเป็นลำดับถัดไป
จากนั้น 2 สัปดาห์ต่อมา ผมก็ได้รับจดหมายจากสถาบันฮักกัย ซึ่งผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ในจดหมายนั้นกล่าวว่า ผมได้รับเลือกให้ไปเข้าอบรมที่ฮาวายเกือบเดือน ค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมดทางสถาบันจะจ่ายให้ ประมาณ 5 แสน โดยผมจ่ายเองแค่ 10% เท่านั้น ซึ่งเป็นหลักสูตรที่จะสร้างนักธุรกิจจากประเทศต่างๆ ให้เป็นมิชชันนารี โดยเป็นมิชชันนารีในประเทศของตนเอง ด้วยการใช้ความเป็นนักธุรกิจ ทำพันธกิจนี้ในแวดวงคนที่เกี่ยวข้องในวงจรธุรกิจของผม
ตั้งแต่นั้นมา ผมจึงได้รู้ชัดเจนว่า พระเจ้าทรงเรียกผมแน่ๆ ไม่มีความสงสัยอีกเลย ให้รับใช้แบบนักธุรกิจคริสเตียน ตามน้ำพระทัยนะครับ ไม่ใช่ตามใจตัวเอง
ซึ่งนี่ก็เป็นประสบการณ์คล้ายๆกับที่เปาโลได้รับการทรงเรียก และเปาโลกล่าวว่า เขาไม่ได้รับใช้พระเจ้าตามใจตัวเอง แต่เขาแตกสลาย เพราะตาบอด ในขณะเผชิญหน้ากับพระเยซูจนตกหลังม้า ขณะที่กำลังเดินทางไปข่มเหงคริสเตียนที่เมืองดามัสกัส เปาโลจึงได้เห็นพระเยซู ได้คุยกับพระองค์ เขาจึงอ้างว่า เขาก็เป็นอัครฑูตคนหนึ่งเช่นเดียวกับอัครฑูต 12 คนที่เคยเห็นพระเยซูฟื้นจากความตาย และเป็นพยานถึงการตายและฟื้นของพระเยซู เป็นพยานถึงการทรงพระชนม์อยู่ของพระเยซู การเป็นพยานถึงพระเยซูนี้ ก็คือหน้าที่ของอัครฑูตครับ
ในยุคสมัยนี้ เราไม่จำเป็นต้องเห็นพระเยซูแล้วจึงเป็นพยานฝ่ายพระองค์ ใน 2 โครินธ์ 5:20 เปาโลกล่าวว่า คริสเตียนทุกคนเป็นฑูตของพระคริสต์ คำว่าฑูตของพระคริสต์ แตกต่างกับคำว่า อัครฑูตของพระคริสต์ก็ตรงที่ อัครฑูตหมายถึงสาวกรุ่นแรกสุด ซึ่งมีสิทธิอำนาจในการวางรากฐานคริสตจักร เหมือนเป็นคนตอกเสาเข็มอาคาร ซึ่งสำคัญมากที่สุดที่จะทำให้วิหารที่มีชีวิตของพระเจ้าถูกก่อขึ้นอย่างเที่ยงตรงที่สุด
ส่วนพวกเราคริสเตียนที่เป็นสาวกในรุ่นต่อๆมา เราไม่ได้รับสิทธิอำนาจในการวางรากฐานหรือตอกเสาเข็ม แต่เราสานต่อจากรากฐานนั้น เปาโลจึงใช้คำว่า ฑูตของพระคริสต์ คือทำหน้าที่เป็นพยานถึงพระเยซู ประกาศข่าวประเสริฐ และเมื่อมีคนเชื่อ ก็รวมตัวกันเป็นคริสตจักร อาจเป็นคริสตจักรบ้านหรือคริสตจักรโบสถ์ก็ได้ เพื่อหนุนใจกันเสริมสร้างกัน และร่วมกับขยายคริสตจักร ขยายแผ่นดินพระเจ้าออกไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก
เอาหล่ะครับ ถึงตรงนี้ มาร่วมสนุกกัน ให้คุณพิมพ์คำตอบลงในคอมเม้นท์ใต้คลิปนี้
ข้อแรก 1️⃣ วันนี้ คุณแน่ใจหรือไม่ว่า สิ่งที่คุณทำอยู่ ล้วนมาจาก น้ำพระทัยพระเจ้า หรือเป็นแค่ตามความคิดของตัวคุณเอง?
👉 ถ้าพระเจ้าตรัสถามว่า “สิ่งที่ลูกลงทุนชีวิตทั้งหมดตอนนี้ เป็นแผนของใคร?” คุณจะตอบว่าอะไร?
ข้อ 2️⃣ ในชีวิตตุฯตอนนี้ มีอะไรที่คุณยึดมั่นถือมั่นว่าเป็น “อัครทูต” ของคุณเอง? (เช่น ลาภยศ ชื่อเสียง ตำแหน่ง ความภูมิใจ หรือสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นเอง)
👉 ถ้าพระเจ้าขอให้วางสิ่งนั้นลง แตกสลายต่อตัวเอง เพื่อทำตามน้ำพระทัยแท้จริง — คุณจะยอมไหม?
3️⃣ คุณรู้สึกยังไง ถ้าพระเจ้าใช้คุณ แบบเดียวกับใช้เปาโล — ให้ทำสิ่งที่ใหญ่เกินตัว และต้องยอมเจ็บ ยอมถูกต่อต้าน และยอมเสียสละ?
👉 คุณพร้อมให้พระเจ้าส่งออกไปยังที่ที่คุณไม่คาดคิดหรือไม่อย่างไร?
4️⃣ ถ้าคุณเขียนจดหมายถึงพี่น้องคริสเตียนคนอื่น คุณจะเริ่มประโยคแรกว่าอะไร?
เปาโลเขียนว่า “ข้าพเจ้าเปาโล ผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า…”
แต่สำหรับคุณ — คุณจะเขียนว่า “ข้าพเจ้า ผู้เป็นทูตของพระคริสต์ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า…” หรือไม่อย่างไร? คุณจะแนะนำตัวเองในจดหมายว่าอย่างไร?
ให้คุณใคร่ครวญสำรวจตัวเองพร้อมอธิษฐานขอการเปิดเผยจากพระวิญญาณนะครับ แล้วร่วมสนุกกันด้วยการพิมพ์คำตอบลงในคอมเม้นท์ใต้คลิปนี้ พรุ่งนี้เราจะมาเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยกันต่อในข้อถัดไป ไปด้วยกันช้าๆทีละข้อทีละข้อ ไม่ต้องใจร้อนเร่งให้จบพระคัมภีร์เล่มนี้เร็วๆ เพราะเราไม่ได้จะไปสอบชิงทุนอะไร แต่เราต้องการสนทนาสื่อสารสองทางพูดคุยกับพระเจ้า สร้างความสนิทสนมลึกซึ้งกับพระองค์ต่างหาก เพื่อเราจะได้รับการเติมพลังจากพระองค์ในทุกๆวัน อาเมนมั๊ยครับพี่น้อง ขอพระเจ้าอวยพรครับ