✨ เปิดประตูสู่ชีวิตอัศจรรย์ ตอนที่ 3 ✨
📖 เฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ สดุดี 3 📖
สวัสดีครับพี่น้อง 🙏 วันนี้เรามาเดินทางต่อกับซีรีย์เฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ ✨ ซึ่งจะพาเราเข้าสู่ชีวิตแห่งชัยชนะโดยพระวจนะของพระเจ้า 💪🔥
🔍 สดุดีบทที่ 3 พูดถึงช่วงเวลายากลำบากของกษัตริย์ดาวิด เมื่อเขาถูกอับซาโลม ลูกชายของเขาเอง ก่อกบฏ 🚨💔 ดาวิดต้องเผชิญกับความทุกข์ ความเจ็บปวด และถูกเยาะเย้ยว่า "พระเจ้าของเจ้าอยู่ไหน?" 😢 แต่เขายังยืนหยัดในความเชื่อและประกาศว่า...
✨ "ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นโล่ล้อมรอบตัวข้าพระองค์ ทรงเป็นศักดิ์ศรีของข้าพระองค์ และทรงเป็นผู้ชูศีรษะข้าพระองค์" (สดุดี 3:3) 🙌💖
💡 เคล็ดลับของชัยชนะคือ...
✅ หยุดสรรเสริญปัญหา แต่ให้ประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า! 🗣️💪
✅ ยืนหยัดในความเชื่อ แม้ในยามมืดมนที่สุด 🌑➡️☀️
✅ พระเจ้าทรงเป็นความช่วยเหลือที่ไม่เคยสาย! ⏳✨
📌 ถ้าคุณกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ อย่าพลาดคำสอนวันนี้! 🎥📢
📍 ติดตามและเฝ้าเดี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าวันละบท 150 วัน! 🗓️💡
📍 รับชมตอนก่อนหน้าได้ที่ช่องนี้ 📺🔥
📖 พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์! ✨💯
#เฝ้าเดี่ยว #สดุดี #พระเจ้าแสนอัศจรรย์ #คำอธิษฐาน #ความเชื่อ #ชัยชนะในพระคริสต์ ✝️💪
จัดทำคลิปโดย.....คุณบิ๊ก
พันธกิจ ..... Big Miracle
Line ID .... BigBig477
สวัสีดีครับพี่น้อง คลิปนี้เป็นตอนที่ 3 ของซีรีย์ เปิดประตูสู่ชีวิตอัศจรรย์ ด้วยการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ สดุดี
ในซีรีย์นี้จะมีทั้งหมด 150 บท เราจะอ่านพระคัมภีร์ไปด้วยกันประมาณวันละบท ซึ่งก็จะใช้เวลา 150 วันหรือเกือบครึ่งปีนะครับ ถ้าคุณพึ่งเข้ามาฟังครั้งแรก ขอแนะนำให้ย้อนกลับไปฟังคลิปก่อนหน้าตั้งแต่คลิปแรกสุด จะได้ต่อติดนะครับ
สำหรับตอนที่ 3 วันนี้ เรามาถึงบทที่ 3 ผมจะอ่านให้ฟังนะครับ
1ข้าแต่พระยาห์เวห์ คู่อริของข้าพระองค์ทวีขึ้นมากเหลือเกิน คนมากมายกำลังลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์
2หลายคนกำลังกล่าวถึงข้าพระองค์ว่า “ไม่มีการช่วยกู้จากพระเจ้าสำหรับเขา”เส-ลาห์
คำว่า เสลาห์ แปลว่า ให้หยุดพักชั่วขณะเพื่อเปลี่ยนทำนองเพลง และให้มีเวลาใคร่ครวญก่อนจะร้องเพลงท่อนต่อไป ซึ่งดาวิดแต่งเพลงนี้เอาไว้ขับร้องในพระวิหาร
จากบริบทพระคัมภีร์นี้ เป็นช่วงเวลายากลำบากที่สุดของกษัตริย์ดาวิด เขากำลังถูกกดดันจากกองทัพของอับซาโลม อับซาโลมเป็นลูกชายของเขานะครับ ที่กบฎต่อพ่อ และศัตรูของดาวิดที่แปรพักต์หันไปเข้าข้างอับซาโลมก็มากมาย ยกกองทัพมาโอบล้อมดาวิด ถ้าคุณอยากรู้รายละเอียดเรื่องลูกชายดาวิดกบฎ ก็ไปอ่านได้ใน 2ซามูเอล 15-18
สาเหตุที่ลูกกบฎอย่างฆ่าพ่อ ก็เพราะแค้นใจที่น้องสาวเขาโดนข่มขื่น แล้วพ่อไม่จัดการอะไรเลย และแค้นใจที่เขาถูกพ่อเนรเทศไปอยู่ในเมืองอื่น เพราะเขาฆ่าคนที่ข่มขืนน้องสาวเขา และเมื่อผ่านไปหลายปี พ่อเขาก็รับเขากลับเข้าวัง แต่มาอยู่ในวังแล้วก็ยังไม่คุยกับเขาเลยถึง 2 ปี ตรงนี้ทำให้อับซาโลมเก็บความโกรธแค้นพ่อของเขาไว้หลายปี จนในที่สุดก็กบฎ จะยึดบัลลังก์กษัตริย์แทนพ่อ แต่ดาวิดก็ไม่เคยโกรธแค้นลูกชาย ดาวิดไม่ต่อสู้ด้วย ใช้วิธีหลบหนี
ดาวิดไม่เพียงแต่ถูกตามล่า เจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจ เพราะลูกชายตัวเองกบฎ และเขายังถูกเย้ยหยันจากศัตรู คนรอบข้างว่า พระเจ้าที่เขาศรัทธานั้นไม่เห็นช่วยเขา
พี่น้องที่รัก บางจังหวะของชีวิต ผมก็คล้ายกับดาวิด มีปัญหามากมายจู่โจมเข้ามา และญาติพี่น้องเพื่อนฝูงก็เยาะเย้ยทำนองดูถูกว่า พระเจ้าของคุณอยู่ไหนหล่ะ ไม่เห็นมาช่วยคุณเลย มันทำให้เจ็บปวดใจสุดๆเลยครับ เพราะผมเคยเป็นพยานประกาศถึงความยิ่งใหญ่อัศจรรย์ของพระเจ้า
แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต ต่อมา เมื่อผมยืนหยัดในความเชื่อมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปกับการเยาะเย้ยของใครๆ เหมือนกษัตริย์ดาวิดในตอนนี้ เขาไม่หวั่นไหวต่อคำดูหมิ้นเหยียดหยามในความเชื่อของเขาเลย และในที่สุด พระเจ้าก็ได้เข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ที่อับจนของดาวิด ทำให้เขาหลุดพ้นจากปัญหาไปได้
ตัวผมเองก็มีหลายครั้งที่หลุดพ้นจากปัญหาได้อย่างอัศจรรย์คาดไม่ถึงครับ หลายคนที่เคยเยาะเย้ยก็เปลี่ยนความคิด กลายเป็นหันมาเชื่อพระเจ้าเพราะเห็นการช่วยกู้จากพระเจ้าในชีวิตผมแทนครับ
ซึ่งผมก็ได้แบ่งปัน stroy เรื่องราวการอัศจรรย์ต่างๆทีเ่กิดขึ้นในชีวิตผมในหลายๆคลิป ในซีรีย์ ทำไมผมเชื่อพระเจ้า ถ้าคุณอยากรู้ ก็ค้นหารับฟังได้จากยูทูปช่องนี้ ช่องพระเจ้าแสนอัศจรรย์นี้ ครับ
ข้อ 3 ดาวิดกล่าวต่อไปว่า ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นโล่ล้อมรอบตัวข้าพระองค์ ทรงเป็นศักดิ์ศรีของข้าพระองค์และทรงเป็นผู้ชูศีรษะข้าพระองค์
ตรงนี้ดาวิดการประกาศความเชื่อมั่นในพระเจ้าสุดๆครับ เขาไม่ได้เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญหรือบ่นต่อว่าพระเจ้า บ่นต่อว่าสถานการณ์ที่ยากลำบาก ในตอนแรกเขาเหมือนจะพูดยกย่องสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของศัตรูนะครับ ตอนแรกเขาพูดในข้อ 1 และ 2 ไปหยกๆว่า
1ข้าแต่พระยาห์เวห์ คู่อริของข้าพระองค์ทวีขึ้นมากเหลือเกิน คนมากมายกำลังลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์
อันนี้ก็เป็นการยกย่องสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของศัตรูนะครับ ทำนองว่า ข้าศึกทวีมากขึ้นเหลือเกิน คนมากมายลุกขึ้นมาต่อสู้กับเขา ตรงนี้เป็นการพูดยกย่องสรรเสริฐปัญหาครับ คุณเคยเป็นมั๊ย เวลามีปัญหาอะไรจู่โจมเข้ามา คุณเอาแต่เผลอพูดถึงความยิ่งใหญ่น่ากลัวของปัญหา และดาวิดพูดต่ออีกว่า
2หลายคนกำลังกล่าวถึงข้าพระองค์ว่า “ไม่มีการช่วยกู้จากพระเจ้าสำหรับเขา
ตรงนี้ก็สะท้อนถึงความลังเลสงสัยไม่แน่ใจว่า พระเจ้าจะยิ่งใหญ่พอที่จะช่วยเขาออกจากปัญหาได้หรือไม่ เพราะมีหลายๆคนกำลังพูดกันว่า ไม่มีการช่วยกู้จากพระเจ้าสำหรับเขา คุณเคยเป็นมั๊ยครับ พอหลายๆคนเริ่มพูดว่า "พระเจ้าไม่ช่วยเจ้าหรอก เจ้าตายแน่กับปัญหานี้" และเมื่อยังไม่เห็นว่าพระเจ้าตอบคำอธิษฐานอะไร คุณก็เริ่มลังเลสงสัยคล้อยตามคำพูดของพวกเขา
แต่ต่อมา ดาวิดคงรู้ทันความคิดลบๆเหล่านี้ที่ผุดขึ้นในใจเขา เขาจึงรีบพูดสวนกลับไปด้วยความเชื่อเชิงบวกแทน เพราะในข้อ 3 ดาวิดกล่าวต่อไปว่า ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นโล่ล้อมรอบตัวข้าพระองค์ ทรงเป็นศักดิ์ศรีของข้าพระองค์และทรงเป็นผู้ชูศีรษะข้าพระองค์
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง เคล็ดลับอยู่ตรงนี้ เวลาคุณมีปัญหาวิกฤตใหญ่โตจู่โจมเข้ามา คุณอย่ามัวพูดยกย่องสรรเสริญปัญหา เช่น เจ้าหนี้โทรมาขู่จะฟ้องศาลยึดทรัพย์คุณ ก็อย่ามัวสรรเสริญปัญหาว่า คุณจะโดนเจ้าหนี้ฟ้องยึดทรัพย์แน่ๆ หนี้ก้อนนี้มันใหญ่มากเกินตัวที่จะแก้ไขได้
หรือหมอตรวจร่างกายของคุณแล้วบอกว่าคุณเป็นมะเร็ง จะตายใน 3 เดือน คุณก็เอาแต่ยกย่องสรรเสริญโรคมะเร็ง เอาแต่คิดว่า มันจะต้องเป็นไปตามนั้น เพราะมะเร็งมันเก่ง มันฆ่าคนตายหลายคนแล้ว
หรือลูกค้าน้อย มีรายได้ไม่พอจ่ายค่าเช่าและเงินเดือนพนักงาน ใกล้จะสิ้นเดือนแล้ว คุณก็เอาแต่สรรเสริญปัญหาว่า เศรษฐกิจมันแย่มาก ไม่มีใครหนีพ้นเศรษฐกิจถดถอยแบบนี้ ฉันไม่มีทางหาเงินได้เพียงพอที่จะจ่ายค่าเช่าและจ่ายเงินเดือนพนักงาน คงต้องเลย์ออฟเลิกจ้างเหมือนบริษัทอื่นๆ
แต่ดาวิดทำอย่างไร เขากลับรีบพูดสวนสถานการณ์ลบๆทันทีในข้อ 3 ว่า
พระยาเวห์เป็นโล่กำลัง ล้อมรอบตัวเขา และจะทำให้เขาได้รับการยกชู ไม่โดนดูหมิ่นเหยียดหยามอีกด้วย นี่เป็นคำพูดเชิงบวก ซึ่งยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงนะครับ แต่เป็นการประกาศความเชื่อที่สวนกับความจริงที่เลวร้าย
ตอนนี้เขายังไม่ได้รอดปลอดภัยจากศัตรูนะครับ แต่เขาพูดในขณะที่ยังหลบหนีหัวซุกหัวซุนอยู่ในทะเลทรายเลยครับ
ตรงนี้หมายถึงอะไร มันหมายถึงคุณต้องไม่สนใจสถานการณ์ว่ามันจะเลวร้ายขนาดไหนครับ เมื่ออับจนหลังชนฝาแล้ว คุณไม่ต้องไปคิดถึงเหตุผลอะไรแล้วครับ เลิกใช้สมองซีกซ้าย ซึ่งเป็นการทำงานของจิตสำนึกที่เอาแต่คิดเหตุผล เพราะมันจะยิ่งทำให้คุณหวาดกลัวกับปัญหาเพิ่มพูนมากขึ้น
แล้วหันมาใช้สมองซีกขวา ซึ่งเป็นการทำงานของจิตใต้สำนึก เพราะจิตใต้สำนึกจะไม่สนใจเหตุผลอะไรเลย แต่มันจะตอบสนองต่อความเชื่อของคุณเท่านั้น จิตใต้สำนึกมันเหมือนเด็กเล็กๆที่ไม่รู้เหตุผลอะไร เมื่อคุณบอกมันซ้ำๆอยู่ตลอดเวลาว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าปัญหา เจ้าจิตใต้สำนึกมันก็จะเชื่อตามนั้น และทำให้คุณสงบลงได้ ไม่ร้อนรนกระวนกระวายหวาดกลัว
คือคุณต้องปักหลักประกาศความเชื่อของคุณอย่างแน่วแน่มั่นคงตลอดเวลา ต้องพูดตอกย้ำถ้อยคำเชิงบวกที่มาจากพระคัมภีร์ สวนทางกับปัญหาเลวร้ายที่กำลังจู่โจมเข้ามาครับ นี่คือเคล็ดลับการดำเนินเชีวิตของคริสเตียนที่จะมีชัยชนะต่อปัญหาทุกอย่าง
คือในชีวิตจริงของคริสเตียนเรา เวลาเผชิญกับปัญหาเข้ามาจู่โจม เรามักจดจ่อที่ปัญหา และทำให้เกิดความหวาดกลัว แล้วก็เอาแต่ยกย่องสรรเสริญความน่ากลัวความยิ่งใหญ่ของปัญหา หรือบางคนก็เอาแต่อธิษฐานแบบร้องไห้คร่ำครวญต่อพระเจ้า พยายามทำตัวให้พระเจ้าสงสาร
ซึ่งการดำเนินชีวิตคริสเตียนมันไม่ใช่แบบนี้เลยครับ เพราะอะไร เพราะพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานตามความเชื่อของเราครับ เราจึงต้องฝึกทำแบบกษัตริย์ดาวิด คือพูดประกาศความเชื่อของเราอย่างสวนทางกับปัญหา ประกาศความยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัดของพระเจ้า โดยใช้ความเชื่อศรัทธาในพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจ
เช่น ถ้าคุณมีปัญหาเจ้าหนี้โทรมาทวงยิกๆ และขุ่คุณว่า ถ้าไม่จ่ายภายในวันพรุ่งนี้ เขาจะฟ้องดำเนินคดี และกองบังคับคดีจะมายึดบ้านยึดรถคุณ
ถ้าคุณเจอสถานการณ์แบบนี้ ไม่ใช่เอาแต่หวาดผวาวิตกกังวลแล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญต่อพระเจ้า ไม่ๆๆๆ นี่ไม่ใช่วิธีของคริสเตียนเราครับ
วิธีของคริสเตียนคือ คุณต้องพูดสวนปัญหาไปดังๆว่า พระเจ้าจะปกป้องฉันจากปัญหาหนี้สิน พระเจ้ากำลังช่วยให้ฉันหลุดพ้นจากปัญหาแล้ว พระเจ้าไม่เคยสาย พระองค์มาทันเวลาเสมอ ฉันไว้วางใจการปกป้องคุ้มครองจากพระองค์ วันนี้ ฉันจะมีเงินก้อนเข้ามาอย่างอัศจรรย์ และฉันจะปลดหนี้ได้ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า
ให้คุณพูดประกาศความเชื่อแบบนี้ดังๆไปตลอดเวลาทั้งวันสวนทางกับปัญหาเลยครับ อย่าปล่อยให้ซาตานมาปล้นขโมยความเชื่อไปจากคุณเด็ดขาด ถ้าคุณถูกปล้นความเชื่อนี้ไป จะเกิดอะไรขึ้น คุณจะจิตตก หวาดกลัววิตกกังวลเคร่งเครียดนอนไม่หลับ แล้วคำอธิษฐานก็เป็นหมัน เพราะความเชื่อที่อับปางลงไปนั่นเอง คุณต้องรักษาความเชื่อในพระเจ้าให้มั่งคงต่อเนื่องไม่หวั่นไหวกับสถานการณ์เลวร้ายใดๆ จึงจะสอบผ่าน แล้วจะได้เห็นการอัศจรรย์ครับ
หรือถ้าหมอบอกว่าคุณเป็นมะเร็ง และจะตายในอีก 3 เดือนข้างหน้า คุณอย่าเอาแต่ร้องไห้อธิษฐานคร่ำครวญทุกวันจนเป็นโรคซึมเศร้า คุณต้องพูดสวนปัญหาความเจ็บป่วยไปว่า พระเจ้าจะปกป้องฉันรอดพ้นจากมะเร็ง คุณจะมีชัยชนะเหนือมะเร็ง ฉันกำลังมีสุขภาพแข็งแรงขึ้นทุกวัน พระเจ้ายังมีงานให้ฉันทำอีกมาก พระองค์จะทำให้ฉันอายุยืนยาวขึ้นอย่างแข็งแรง แม้ว่าจะเจ็บปวดอวัยวะใดในร่างกาย ก็อย่าไปสน แต่ให้พูดสวนทางกับปัญหาไปเลย ประกาศความเชื่อไปเรื่อยๆเหมือนกษัตริย์ดาวิดในพระคัมภีร์ตอนนี้ครับ
การทำแบบกษัตริย์ดาวิด มันไม่ใช่การปฎิเสธความจริงของปัญหา แต่มันเป็นการใช้ความเชื่อศรัทธาในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ซึ่งใหญ่กว่าปัญหาทุกอย่างที่คุณเผชิญอยู่ ยิ่งคุณพูดสวนกับปัญหาด้วยความเชื่อในพระเจ้าบบ่อยๆ ความเชื่อในพระเจ้าจะยิ่งดำดิ่งฝังลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึกคุณ แล้วคุณก็จะยิ่งมีความเชื่อเพิ่มพูนมากขึ้นไปอีก แล้วพระเจ้าจะทำงานผ่านทางความเชื่อที่มั่นคงไม่หวั่้นไหวคลอนแคลนของคุณครับ การอัศจรรย์จะเกิดขึ้นเมื่อคุณโฟกัสที่ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ไม่ใช่มัวโฟกัสที่ปัญหาที่จู่โจมคุณ
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง
มัทธิว 14:28-31 เป็นตอนที่เปโตรเดินบนน้ำไปหาพระเยซูได้หลายก้าวแล้ว แต่พอมีลมพายุแรงกล้าพัดมา เขาก็เกิดความกลัว ตอนนั้นแหละเขาก็จมน้ำ
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง ความเชื่อเป็นกุญแจทำให้เกิดการอัศจรรย์ และถ้ามีความลังเลสงสัยหรือมีความกลัวเข้าแทรก ความเชื่อหดหายไป การอัศจรรย์ก็หายไปด้วย นี่หมายถึง คริสเตียนเราต้องรักษาความเชื่อให้มั่นคงอยู่ตลอดเวลานะครับ ไม่ใช่วันนี้เชื่อ พรุ่งนี้ไม่เชื่อ สลับกันไปแบบนี้ การอัศจรรย์ก็ไม่เกิดครับ
ดังที่ท่านยากอบกล่าวไว้ใน
ยากอบ 1:6-7 แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง คุณต้องมีความเชื่อแน่วแน่มั่นคง ไม่ลังเลสงสัย มิฉะนั้น จะเป็นเหมือนคลื่นในทะเลที่ลมพัดซัดไปมา เดี๋ยวเชื่อเดี๋ยวสงสัยไม่เชื่อ ก็อย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย
ดังนั้น การจะเห็นการอัศจรรย์ กุญแจสำคัญคือ คุณต้องรักษาความเชื่อให้ต่อเนื่องตลอดทุกวินาทีครับ นี่ืจึงเป็ฯเหตุผลว่า ทำไมคริสเตียนควรไปโบสถ์และเข้ากลุ่มเซลล์สม่ำเสมอ ซึ่งมันเหมือนจุดไฟให้ความเชื่อของคุณไม่ดับ เป็นการรักษาความเชื่อให้ต่อเนื่องตลอด
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อหลายปีก่อน บางครั้งผมก็เจอกับวิกฤตจนเครียดวิตกกังวลมาก แม้จะไปโบสถ์และเข้ากลุ่มเซลล์แล้ว แม้จะให้ศิษยาภิบาลช่วยอธิษฐานเผื่อแล้ว ก็ยังไม่หายหวาดกลัวกับปัญหาใหญ่โตที่จู่โจมเข้ามา
เพราะอะไรครับ ก็เพราะผมยังต้องกลับไปอยู่กับตัวเองหลายวันหลายชั่วโมง ไม่ได้มีเวลาไปอยู่ในกลุ่มเซลล์ได้ตลอดทุกวินาที จริงมั๊ยครับ
และเมื่อกำลังอยู่บ้านหรือกำลังทำธุรกิจ แล้วเจ้าหนี้โทรมาทวงยิกๆ ขู่จะฟ้องศาลยึดทรัพย์ ผมก็พบว่า ความกลัวจู่โจมเข้ามาและความเชื่อก็หายไปทันทีครับ ผมไม่สามารถจะเอาตัวไปเข้ากลุ่มเซลล์ได้ทุกครั้งที่ความเชื่อถดถอย เพราะเจ้าหนี้มันก็ทวงตลอดเวลาทุกวันไงหล่ะครับ
แล้วผมทำยังไงจึงจะรักษาความเชื่อให้มันคงต่อเนื่อง มันไม่ใช่เอาแต่นั่งร้องไห้คร่ำครวญเรียกคะแนะนสงสารจากพระเจ้านะครับ
และมีเช้าวันหนึ่ง ขณะเฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้า พระวิญญาณก็สอนผมว่า ผมไม่มีความเชื่อมั่นคง ผมจะต้องทำแบบที่กษัตริย์ดาวิดทำครับ คือพูดประกาศความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าออกไปสวนกับสถานการณ์ที่เลวร้ายครับ พูดตอกย้ำกับตัวเองด้วยพระวจนะที่กล่าวว่า พระเจ้าจะปกป้องผม พระเจ้าจะเป็นโล่ห์กำบังให้ผม พระเจ้าจะยกชูผมขึ้นด้วยมือขวาอันมีชัยของพระองค์ พูดสรรเสริญความยิ่งใหญ๋ของพระเจ้าตลอดเวลา ไม่ใช่พูดสรรเสริญปัญหา ตั้งแต่วันนั้นผมก็ทำตามที่พระองค์บอก
มันเป็นการตอกย้ำให้ความเชื่อศรัทธาฝังลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึก ทำแบบนี้ก็จะรักษาความเชื่อให้มั่นคงต่อเนื่องได้ตลอดเวลาทั้งยามหลับและยามตื่นครับ
ทุกครึั้งที่มีปัญหาจู่โจมเข้ามาแล้วผมเกิดความหวาดกลัววิตกกังวล พระวิญญาณก็จะทำให้ผมระลึกได้ถึงท่านเปโตรที่หวั่นไหวหวาดกลัวกับพายุแรงกล้าที่พัดเข้ามาแล้วเขาก็จมน้ำ เรื่องราวตอนนี้จะเตือนใจผมเสมอเวลาผมมีความกลัววิตกกังวลกับปัญหา เพราะมันจะทำให้ผมจมลงไปเหมือนท่านเปโตรครับ
ดังนั้ เมื่อผมรู้เคล็ดลับนี้แล้ว ผมจึงไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองจมแบบท่านเปโตร คือเราต้องไม่หวั่นไหวกับปัญหาที่จู่โจมเข้ามา เราต้องรักษาความเชื่อให้มั่นคงต่อเนื่องตลอดทุกวินาที ทำได้โดยประกาศความเชื่ออย่างสวนกับปัญหาเหมือนดาวิดทำ และภาวนาพระคำเชิงบวกของพระเจ้าไว้ตลอดเวลาจนฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก แล้วความเชื่อจึงจะมั่นคงต่อเนื่อง ซึ่งก็จะไปเคลื่อนพระหัตถ์พระเจ้าจนการอัศจรรย์เกิดขึ้นนำคุณหยุดออกจากปัญหาได้
แต่ระวังให้ดีนะครับ อย่าไปคิดว่า การอัศจรรย์เกิดเพราะความเชื่อของคุณ แต่การอัศจรรย์เกิดจากฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าต่างหาก ความเชื่อคุณเป็นเพียงสะพานรับเอาพลังอำนาจจากพระองค์เข้ามาเท่านั้น
และเพื่อให้สมดุล แม้คุณจะประกาศความเชื่ออย่างเข้มแข็ง แม้จะมีความเชื่อศรัทธาพระเจ้ามากก็ตาม แต่ถ้าคุณทำอะุไรแบบโงๆ ขาดสติปัญญาและขี้เกียจ ไม่ลงมือทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงนำให้คุณทำ ก็เท่ากับคุณแค่เชื่อแบบมูตเลูเท่านั้นครับ ความเชื่อจะต้องมีการกระทำบางอย่างตามการทรงนำด้วย
อีกอย่างคือ ความเชื่อจะต้องสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ด้วย ไม่ใช่คิดว่า เชื่ออะไรพระเจ้าก็จะตอบตามความเชื่อไปซะทุกอย่าง บางคนใช้ความเชื่อพระเจ้าผิดๆ คือใช้ความเชื่อแบบบีบบังคับให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานทั้งๆที่เป็นการขอที่เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาอย่างเห็นแก่ตัว แบบนี้ต่อให้รักษาความเชื่ออย่างเข้มแข็งแค่ไหน ก็ไปไม่รอดครับ พระเจ้าไม่ส่งเสริมให้ลูกของพระองค์กิเลสหนาหรือเห็นแก่ตัว และไม่ส่งเสริมให้เชื่อแบบมูเตลู คือต้องเชื่อให้ถูกต้องตามน้ำพระทัยดีเลิศของพระองค์ด้วย บางครั้งพระองค์ช่วยหมดเลย แต่บางครั้งพระองค์ก็ต้องการให้เราขอสติปัญญาและมีความขยันที่จะลงมือทำบางอย่างด้วย
และอีกอย่าง ต่อให้คุณมีความเชื่อมั่นคงต่อเนื่อง แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาเหมาะสมที่พระองค์จะตอบ การอัศจรรย์ก็จะยังไม่เกิดนะครับ อย่าลืมว่า อับราฮัมแม้จะมีความเชื่อมากจนได้รับฉายาว่า เป็นบิดาแห่งคามเชื่อ เขาเชื่อว่าจะได้ลูกชายตามพระสัญญา แต่เขาก็ไม่ได้รับทันทีอย่างรวดเร็วตามที่เขาเชื่อนะครับ พระเจ้าทำการอัศจรรย์ตอนเขามีอายุได้ร้อยปี จึงจะมีลูกที่ชื่อิสอัค แต่สิ่งที่อับราฮัมทำก็คือ รักษาความเชื่อให้ต่อเนื่องไปตลอดหลายสิบปี แม้จะยังไม่เห็นสัญญาณการอัศจรรย์ใดๆเลยก็ตาม เขาก็ยังเชื่อมั่นคงต่อเนื่องไม่เคยเลิกเชื่อในพระสัญญาของพระองค์ครับ
ผมเองเวลาอธิษฐานขอสิ่งใดต่อพระเจ้า ผมจะพิจารณาว่า คำอธิษฐานของผมขัดแย้งกับพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ ถ้าผมเห็นว่าไม่ข้อแย้งอะไร ผมก็จะมั่นใจว่าพระองค์จะตอบแน่ และผมจะจดบันทึกทุกคำอธิษฐานขอไว้ในสมุดบันทึก ผมเรื่องต้องขอเยอะครับ บางทีเกือบร้อยข้อที่ผมจดไว้ และทุกๆเช้าหลังจบเฝ้าเดี่ยว ผมจะเอาคำอธิษฐานขอมาอ่าน และประกาศความเชื่อว่า พระเจ้ากำลังตอบคำอธิษฐานผมอยู่ คำอธิษฐานขอบางข้อผมขอมาเป็นสิบปีแล้วก็ยังไม่ได้รับ มันทำให้ท้อแท้ใจมากๆ จนเบื่อและขี้เกียจจะพูดประกาศความเชื่อ แต่เมื่อผมนึกถึงเคสของท่านอับราฮัม เขาไม่เคยท้อไม่เคยเลิกเชื่อเมื่อขอลูกชาย เขายึดหยัดมั่นคงในความเชื่ออย่างต่อเนื่องหลายสิบปี และในที่สุด การอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น สิ่งที่เขาอธิษฐานก็มาเป็นจริงตอนอายุร้อยปี ดังนั้น การพูดประกาศความเชื่อจะต้องพูดบ่อยๆครับ ถ้าคุณเป็นหนี้และยังไม่มีรายได้มากพอจะปลดหนี้มาหลายปี ก็อย่าท้อแท้เลิกเชื่อง่ายๆ คุณต้องฝึกประกาศความเชื่อไปทุกๆวันอย่างต่อเนื่อง เดี๋ยวจะมีวันหนึ่งที่การอัศจรรย์จะต้องเกิดขึ้นจนได้ครับ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อรักษาพระสัญญาเสมอ สำหรับคนที่รักพระองค์และฝากชีวิตไว้กับพระองค์อย่างไม่คลอนแคลน เหมือนที่กษัตริย์ดาวิดประกาศความเชื่อมั่นในพระเจ้าสุดๆ แม้จะกำลังอับจนหนทางหลบหนีศัตรูก็ตาม อาเมนมั๊ยครับพี่น้อง
เอาหล่ะครับ ถึงตรงนี้ก็มาร่วมสนุกกัน ให้คุณอธิษฐาน คุณได้เข้าใจความหมายของข้อความที่ว่า
ดาวิดกล่าวต่อไปว่า ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นโล่ล้อมรอบตัวข้าพระองค์ ทรงเป็นศักดิ์ศรีของข้าพระองค์และทรงเป็นผู้ชูศีรษะข้าพระองค์
คุณเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้แล้วหรือยังว่าคืออะไร? ดาวิดกำลังทำอะไร ? เขากำลังประกาศความเชื่อที่สวนทางกับสถานการณ์เลวร้ายใช่หรือไม่? ลองทบทวนตัวเอง เวลาคุณถูกปัญหาจู่โจมเข้ามา คุณยอมมักจะยกย่องสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของปัญหา หรือคุณสรรเสริญความยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัดของพระเจ้า? คุณได้รับเรม่าห์พิเศษอะไรบ้างจากพระวิญญาณ และคุณจะตอบสนองอย่างไร เพื่อจะได้มีชีวิตอัศจรรย์ในทุกด้าน?
เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ ให้คุณหยุดและอธิษฐานขอพระวิญญาเปิดเผยสำแดงให้คุณได้รับรู้ แล้วพิมพ์คำตอบในคอมเม้นท์ใต้
พรุ่งนี้เราจะเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยกัน เพื่อเสริมสร้างความเชื่อศรัทธาวางใจพระเจ้าให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น แล้วชีวิตคุณจะไม่ขาดการอัศจรรย์เลย คุณจะเต็มล้นด้วยศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด เพื่อพระเจ้าจะใช้คุณไปเป็นท่อพระพรใหญ่สู่ผู้คนในวงกว้างมากมายได้ อาเมนมั๊ยพีน้อง ขอพระเจ้าอวยพร