วันนี้เรามาเฝ้าเดี่ยวด้วยกันใน **สดุดีบทที่ 15**
💭 พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราเป็นคนไร้ตำหนิ แต่…เราทำได้จริงหรือ? 🌿 ดาวิดบอกว่าคนที่ดำเนินชีวิตชอบธรรมเท่านั้นจึงจะอยู่ในเต็นท์ของพระเจ้าได้ แต่ในความเป็นจริง **"ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมเลยสักคนเดียว" (โรม 3:10) 🤔**
🔥 **ข่าวประเสริฐคือ** พระเยซูได้ทำให้เราชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์! 🐑 **พระเยซูคือพระเมษโปดกของพระเจ้า** ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก (ยอห์น 1:29) ❤️ พระองค์ทรงทำให้เราไร้ตำหนิ **ไม่ใช่โดยการกระทำของเราเอง** แต่โดยความเชื่อ (เอเฟซัส 2:8-9) 🎯 เราจึงสามารถเข้าสู่การทรงสถิตของพระเจ้า **ได้ตลอดไป** เพราะร่างกายของเราเป็น **"วิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์" (1 โครินธ์ 6:19) 🕊️**
📌 **อย่าพลาด!** มาร่วมเฝ้าเดี่ยวและรับเรม่าห์จากพระเจ้าไปพร้อมกันครับ 💖
📢 ฝากกดไลค์ ❤️ แชร์ 🔄 และติดตามช่องเพื่อไม่พลาดคลิปต่อไปนะครับ!
#สดุดี15 #เฝ้าเดี่ยว #ชีวิตไร้ตำหนิ #ข่าวประเสริฐ #พระเยซูคริสต์ #พระคุณพระเจ้า
จัดทำคลิปโดย.... คุณบิ๊ก
พันธกิจ...Big Miracle
Line ID...BigBig477
www.bigmiracle.org
สวัสีดีครับพี่น้อง คลิปนี้เป็นบทที่ 15 ของซีรีย์ "ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์" ด้วยการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ สดุดี ผมจะอ่านช้าๆและใคร่ครวญไปทีละข้อดังนี้ครับ
1ข้าแต่พระเจ้า ผู้ใดจะอาศัยอยู่ในพลับพลาของพระองค์ ผู้ใดจะอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
ตรงนี้ ชาวยิวสมัยก่อน ส่วนใหญ่จะมีความเชื่อว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในพลับพลาหรือในเต๊นท์ บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ คือภูเขาศิโยนนะครับ พระเจ้าเลือกให้เป็นศูนย์กลางการนมัสการสำหรับชาวอิสราเอล และมีตอนหนึ่งที่ดาวิดรำพึงรำพันว่า เขาอาศัยอยู่ในวังที่หรูหราสวยงาม แต่กลับปล่อยให้พระเจ้าอยู่ในเต๊นท์ซ่อมซ่อ เขาจึงคิดจะสร้างพระวิหาร แต่พระเจ้าไม่ให้เขาสร้าง เพราะมือเขาเปื้อนเลือดจากสงครามมากเกินไป โปรเจคสร้างพระวิหารของดาวิด จึงได้มาถูกสร้างโดยลูกชายที่ชื่อโซโลมอนครับ
ในข้อ2 ดาวิดกล่าวว่า คือผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างไร้ตำหนิ และประพฤติตามความชอบธรรม และพูดความจริงจากใจของตน 3ผู้ซึ่งไม่ใช้ลิ้นของตนในการนินทาว่าร้าย ไม่กระทำชั่วต่อเพื่อน และไม่ด่าเพื่อนบ้านของตน 4ในสายตาของเขา คนถ่อยเป็นคนที่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม เขาให้เกียรติแก่ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า ถึงสาบานแล้ว และต้องเสียประโยชน์เขาก็ไม่กลับคำ 5เขาเป็นผู้ที่มิได้ให้คนอื่นกู้เงินโดยคิดดอกเบี้ยและไม่ยอมรับสินบนต่อสู้ผู้ไร้ความผิด ผู้ซึ่งกระทำสิ่งเหล่านี้จะไม่หวั่นไหวเป็นนิตย์
ตรงนี้ดาวิดกำลังสื่อว่า คนที่เพอเฟคไม่มีที่ติ เป็นคนบริสุทธิ์ จึงจะอยู่ในเต๊นท์หรือในพระวิหารของพระเจ้าได้ ซึ่งมีลักษณะชีวิตดีงามสมบูรณ์ไม่ด่างพร้อยเลย ได้แก่ เป็นคนไม่มีที่ติ เป็นคนชอบธรรม เป็นคนไม่พูดนินทาว่าร้าย เป็นคนไม่ทำความชั่วต่อเพื่อนบ้าน เป็นคนไมม่ดูหมิ่นเหยียดหยามใคร เป็นคนให้เกียรติผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า เป็นคนที่สาบานแล้วไม่กลับคืนคำ เป็นคนที่ให้คนอื่นยืมเงินแล้วไม่คิดดอกเบี้ย เป็นคนไม่รับสินบน เป็นคนต่อสู้ให้กับผู้ไร้ความผิด คนที่เป็นลักษณะแบบนี้ จะไม่หวั่นไหวหวาดกลัวใดๆเป็นนิตย์ เพราะจะอยู่ในเต๊นท์ของพระเจ้าได้ พระเจ้าจะทรงสถิตกับเขาและปกป้องเขาครับ
ถึงตรงนี้ ให้คุณอธิษฐานขอเรม่าห์พิเศษจากพระวิญญาณ พระองค์มีอะไรที่จะบอกคุณหรือไม่อย่างไร?
สำหรับผม ผมรู้สึกเหมือนคำว่า "ไร้ตำหนิ" กระโดดขึ้นมาจากหนังสือพระคัมภีร์ ผมจึงเอาคำนี้ มาเป็นหัวข้อสนทนากับพระองค์ ผมถามพระองค์ว่า การเป็นคนไร้ตำหนิ ตามที่ดาวิดกล่าวมานั้น จึงจะมีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่การทรงสถิตใกล้ชิดพระเจ้าได้ กระนั้นหรือ ? แล้วถ้าผมยังมีตำหนิอยู่ ผมยังไม่เพอเฟคร้อยเปอร์เซ็นต์ บางครั้งผมก็ยังเผลอทำบาปบางอย่าง และต้องมาสารภาพบาปต่อพระองค์ ผมก็มีตำหนิสิ และก็ไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะเข้าสู่การทรงสถิตใกล้ชิดกับพระเจ้า กระนั้นหรือครับพระองค์?
แล้วผมก็สัมผัสได้ว่า พระวิญญาณยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดูรักใคร่ และสอนผมว่า ในพันธสัญญาเดิม (รวมถึงสดุดีบทที่ 15 บทนี้ด้วย) มนุษย์ต้องพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม เพื่อที่จะได้เข้าสู่การทรงสถิต ได้เข้าใกล้ชิดมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า และได้รับพระพรจากพระเจ้า คนที่ดำเนินชีวิตในบาป จะไม่ได้รับสิ่งดีใดๆจากพระเจ้า แต่คนที่พยายามดำเนินชีวิตให้ชอบธรรมตามที่ดาวิดกล่าวมาครบถ้วนไร้ตำหนิ จึงจะได้รับการยอมรับให้ “อาศัยอยู่ในเต็นท์ของพระเจ้า” หรือเข้าใกล้การทรงสถิตของพระองค์ แล้วจึงจะได้รับการอวยพร นี่คือหลักการในพันธสัญญาเดิม
แต่ปัญหาคือ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถรักษาการเป็นคนมีคุณสมบัติไร้ตำหนิได้อย่างสมบูรณ์ แม้แต่คนในพันธสัญญาเดิมคือท่านอิสยาห์ก็กล่าวไว้ใน
อิสยาห์ 64:6 ข้าพระองค์ทั้งปวงกลายเป็นผู้มีมลทิน ความประพฤติอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งปวงเหมือนผ้าขี้ริ้วโสโครก
ความหมายก็คือ มนุษย์พยายามทำตัวเองให้เป็นคนดีคนชอบธรรมนั้น มันก็เปรียบเหมือนผ้าขี้ริ้วสกปรกในสายตาพระเจ้า และในพันธสัญญาใหม่ ท่านเปาโลก็กล่าวไว้ใน โรม 3:10 ว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมเลยสักคนเดียว”
เรม่าห์ที่ผมได้รับคือ มนุษย์ในพันธสัญญาเดิมรวมถึงในยุคของกษัตริย์ดาวิด ก็ต้องพยายามด้วยตัวเองอย่างหนัก ในการทำตัวให้เป็นคนดีเป็นคนชอบธรรม ตามคุณสมบัติหลายๆข้อที่ดาวิดกล่าวในสดุดีบทที่ 15 นี้ เพื่ออะไร ก็เพื่อจะได้มีสิทธิ์อยู่ในเต๊นท์ของพระเจ้าได้ หมายถึงจึงจะเข้าสู่การทรงสถิตของพระเจ้าได้ เพื่อจะได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดพระองค์ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จะได้รับการอวยพร แต่ชาวยิวก็ล้มเหลว ยังทำบาปกันอยู่ ยังเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วสกปรก ดังนั้น ในพันธสัญญาเดิม จึงต้องมีระบบการถวายเครื่องบูชา เพื่ออะไร ก็เพื่อไถ่บาปล้างชำระมนทิน เพื่อจะได้ฟื้นคืนความสัมพันธ์กับพระเจ้า โดยมีปุโรหิตเป็นผู้นำในการทำพิธีชำระบาป เราจะเห็นว่าสมัยนั้นต้องมีการเอาแกะที่ไร้ตำหนิมาถวายเพื่อให้ปุโรหิตใช้เลือดแกะช่วยชำระบาป ตามหลักการที่โมเสสได้รับจากพระเจ้า แต่ก็จะต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะเลือดแกะจะไถ่บาปได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง ฮีบรู 10:4 ที่กล่าวว่า "เพราะว่าเลือดของโคและแพะแกะ ไม่สามารถลบล้างบาปได้อย่างถาวร"
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง เลือดสัตว์แม้จะไร้ตำหนิ แต่ก็ลบบาปมนทินให้เราได้แค่ชั่วคราว
และใน ฮีบรู 10:10 ก็กล่าวว่า "เราจึงถูกชำระให้บริสุทธิ์โดย เครื่องบูชาแห่งพระกายของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียวเป็นพอ"
เห็นมั๊ยครับพีน้อง แต่คริสเตียนในพันธสัญญาใหม่ จะได้รับการล้างบาปโดยพระเยซูเพียงครั้งเดียวก็พอ คือพระองค์ไม่ต้องมาตายบนกางเขนหลายๆครั้ง ครั้งเดียวเมือ 2 พันกว่าปีก่อนก็พอ เราในยุคนี้ถ้ามีความเชื่อเหตุการณ์เมื่อ 2 พันกว่าปีก่อน เราก็ยังคงได้รับสิทธิ์พิเศษนี้เหมือนคนในยุคนั้น
และในยอห์น 1:29 ก็กล่าวว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็น "พระเมษโปดกของพระเจ้า" ที่ไถ่บาปของโลกโดยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์ครั้งเดียว และเพียงพอสำหรับทุกคนตลอดไป
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง พระเยซูคือพระเมษโปดก หมายถึงลูกแกะของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ไร้ตำหนิใดๆ และการหลั่งเลือดของพระองค์ครั้งเดียวก็เพียงพอสำหรับการไถ่บาปให้กับมนุษยชาติทั้งโลก แล้วพระวิญญาณก็เดือนสติเพื่อไม่ให้ผมหลงลืมไปว่า พระองค์ตอกย้ำความเชื่อให้กับผมว่า ในพันธสัญญาใหม่ "พระเยซูทำให้เจ้าไร้ตำหนิแล้ว" เจ้าเกิดในยุคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งดีกว่าพันธสัญญาเดิม เพราะพระเยซูมาบังเกิดแล้วเมื่อ 2 พันกว่าปีก่อน เจ้าไม่ใช่คนในยุคของกษัตริย์ดาวิด ที่จะต้องพยายามทำตัวเองให้บริสุทธิ์ไร้ตำหนิด้วยตัวเอง แต่พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นผู้ทำให้เจ้าเป็นคนบริสุทธิ์ชอบธรรมไร้ตำหนิแล้ว โดยการรับโทษบาปอย่างทรมานบนกางเขนแทนเจ้า เลือดบริสุทธิ์ของพระเยซูหลั่งออกมาเพื่อชำระเจ้าให้เป็นคนบริสุทธิ์ชอบธรรม
ถึงตรงนี้ผมรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลด้วยความซาบซึ้งในพระคุณพระเจ้าที่ผมได้รับเปล่าๆ รู้สึกรักพระเยซูขึ้นมาจับจิตจับใจ ถ้าพระองค์ไม่ยอมตายอย่างทรมานบนกางเขนเพื่อรับโทษบาปแทนผม ผมก็ไม่มีวันเข้าอยู่ในเต๊นท์ของพระเจ้า ไม่มีวันอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้าแน่ๆเลยครับ แล้วพระองค์ก็ทำให้ผมระลึกได้ถึงข้อพระคัมภีร์ในพันธสัญญาใหม่หลายๆข้อผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ ได้แก่
📖 โรม 3:22 "คือความชอบธรรมของพระเจ้าซึ่งมีมาโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์สำหรับทุกคนที่เชื่อ"
นี่หมายถึง คริสเตียนเราได้รับความชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว โดยอะไร? ก็โดยความเชื่อในเลือดบริสุทธิ์ของพระเยซูที่หลั่งออกมาเพื่อล้างบาปล้างมนทินให้กับพวกเราไงหล่ะครับ
และในโรม 5:1 กล่าวว่า "เหตุฉะนั้นเมื่อเราได้ถูกทำให้ชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา"
ตรงนี้ท่านเปาโลก็คอนเฟิร์มชัดเจนว่า เราได้ถูกทำให้ชอบธรรมแล้วโดยความเชื่อ ความหมายคือ เราถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมแล้วครับ พระเจ้ามองว่าเราเป็นคนชอบธรรมแล้ว และยอมรับเราเข้ามีความสัมพันธ์สนิทใกล้ชิดพระองค์ได้แล้ว เราจึงสบายใจได้ว่า เราสามารถเข้ามาอธิษฐานสิ่งจำเป็นต่างๆกับพระเจ้าได้ ทำให้เรามีสันติสุขในการดำเนินชีวิต ไม่ร้อนรุ่มกระวนกระวายใจอีกต่อไปไงหละครับ
และในเอเฟซัส 2:8-9 ก็กล่าวว่า "เพราะว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณทางความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่โดยการกระทำ เพื่อมิให้ใครอวดได้"
เห็นมัียครับพี่น้อง เรารอดจากการถูกพิพากษา ก็ด้วยความเชื่อในเลือดบริสุทธิ์ไร้ตำหนิของพระเยซูที่หลั่งบนกางเขนเพื่อล้างตำหนีความไม่บริสุทธิ์ของเรา เราจึงกลายเป็นคนไร้ตำหนิในสายตาพระเจ้าแล้ว เราจึงมีคุณสมบัติที่จะเข้าอยู่ในเต๊นท์ของพระเจ้าได้แล้ว หมายถึงอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้าได้ตลอดไป ไม่ต้องพยายามทำด้วยตัวเอง เพราะพระเจ้ารู้ว่าไม่มีใครทำได้ จึงให้พระเยซูมาทำให้เราถูกนับว่าชอบธรรมไร้ตำหนิ นี่เป็นพระคุณทีไ่ด้รับเปล่าๆไงหละครับ และพระเจ้าก็ได้ส่งพระวิญญาณของพระองค์เข้ามาอยู่ในตัวคริสเตียนเราทุกคนแล้วด้วยตั้งแต่วันที่เราอธิษฐานรับเชื่อต้อนรับพระเยซู นั่นแปลว่า พระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดเวลาแล้ว ดังที่ท่านเปาโลกล่าวไว้ใน
1 โครินธ์ 6:19 ว่า ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง ตอนนี้คุณไม่ต้องพยายามกระเสือกกระสนดิ้นรนที่จะทำตัวให้มีคุณสมบัติไร้ตำหนิหลายๆข้อตามที่ดาวิดกล่าวมาแล้ว เพราะพระเยซูทำแทนคุณแล้ว คุณบริสุทธิ์ไร้ตำหนิแล้วโดยเลือดที่บริสุทธิ์ไร้ตำหนิของพระเยซู คุณจึงมีสิทธิ์เข้าอยู่ในเต๊นท์ของพระเจ้าได้ ซึ่งหมายถึง พระเจ้าเข้ามาอยู่ในตัวคุณได้ มาสถิตอยู่ในร่างกายของคุณ ตัวคุณจึงกลายเป็นวิหารที่ประทับของพระเจ้าแล้ว ถ้าคุณไม่ได้ถูกล้างด้วยเลือดบริสุทธิ์ของพระเยซู พระวิญญาณของพระเจ้าก็จะเข้ามาอยู่ในตัวคุณไม่ได้นะครับ หรือคุณพยายามล้างตัวเองให้บริสุทธิ์ พยายามทำตัวเป็นคนเคร่งศาสนา มันก็เปรียบเหมือนแค่ผ้าขี้ริ้วสกปรก พระวิญญาณของพระเจ้าก็เข้ามาสถิตในตัวคุณไม่ได้ มีแต่ความเชื่อในเลือดบริสุทธิ์ของพระเยซูที่เชื่อว่าล้างบาปให้กับคุณจนสะอาดหมดจนแล้วเท่านั้น คุณจึงจะสะอาดไร้ตำหนิ จนพระวิญญาณอันบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในตัวคุณได้ไงหล่ะครับ ตราบใดที่คุณเชื่อในการไถ่บาปที่กางเขนของพระเยซู คุณก็ถูกนับว่าชอบธรรม และพระเจ้าก็จะสถิตในร่างกายคุณตลอดไป
ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดก็คือข่าวประเสริฐนะครับ ประเสริฐอย่างไร ก็ประเสริฐตรงที่คุณไม่ต้องแบกภาระหนักของการเคร่งศาสนา เพื่อจะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าเหมือนคนในยุคพันธสัญญาเดิมแล้วไงครับ เพื่อพวกเขาจะได้เข้าอยู่ในเตีนท์ของพระเจ้าได้ เพื่อจะได้อยู่ในการทรงสถิตของพระองค์ได้ พวกเราคริสเตียนที่เชื่อในข่าวประเสริฐคือ ข่าวสารที่บอกว่า พระเยซูได้ทำให้พวกเราเป็นคนชอบธรรมไร้ตำหนิแล้วโดยเลือดบริสุทธิ์ของพระองค์ เราได้รับเปล่าๆฟรีๆด้วยความเชื่อ นี่แหละจึงเรียกว่า ประเสริฐไงหละครับ
แต่ผมพบว่า ในยุคสมัยนี้ ยังมีคริสตจักรหลายๆแห่ง สอนให้สมาชิกยังทำตัวเแบบคนในพันธสัญญาเดิมอยู่อีก คือ สอนให้เคร่งครัดทำตัวเป็นคนดีเป้นคนชอบธรรมด้วยกำลังตัวเอง ถ้าไม่ทำตามกฎกติกาของโบสถ์จะทำให้พระเจ้าไม่สถิตอยู่ด้วย และจะไม่ได้รับการอวยพร แล้วก็เอากฎศาสนามาบีบบังคับให้คริสเตียนกลัว แต่กลับไม่ได้สอนความจริงของข่าวประเสริฐว่า ขณะนี้คริสเตียนเราอยู่ในยุคพันธสัญญาใหม่แล้ว พระเยซูทำแทนแล้ว ไม่ต้องพยายามทำด้วยตัวเองแล้ว เราได้รับพระคุณเปล่าๆฟรีๆแล้วด้วยความเชื่อในโลหิตบริสุทธิ์่ของพระเยซูที่ำทเพื่อเรา ทำให้เราถูกนับว่าเป้นคนชอบธรรมแล้ว มีคุณสมบัติไร้ตำหนิแล้ว ไม่เพียงสามารถเข้าในเต๊นท์ของพระเจ้าได้แล้ว แต่พระเจ้าเองต่างหากเข้ามาอยู่ในตัวเราเลย คุรและผมจึงอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้าแล้วนะครับ พระองค์เข้ามาอยู่ในตัวคุณและผมแล้ว ไม่ใช่เพราะการพยายามทำความดีทำตัวบริสุทธิ์ของเรา แต่เพราะพระองค์รักษาพระสัญญาว่า ใครก็ตามที่เชื่อและต้อนรับพระเยซู พระวิญญาณของพระองค์ก็จะเข้ามาอยู่ในตัวผู้นั้นและอยู่ด้วยตลอดไป ดังที่ปรากฎใน
ยอห์น 14:16-17 ที่พระเยซูกล่าวว่า “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน คือพระวิญญาณแห่งความจริง เพื่อจะอยู่ในท่าน และอยู่กับท่านตลอดไป"
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง พระเยซูไม่ได้กล่าวว่า คุณจะต้องมีความเชื่ออย่างแรงกล้า พระองค์จึงจะประทานพระวิญญาณให้มาอยู่ในตัวคุณ และพระองค์ก็ไม่ได้กล่าวว่า คุณต้องไปให้ใครวางมือรับลมรับไฟก่อน เพื่อรับการชำระให้บริสุทธิ์ก่อน แล้วพระวิญญาณจึงจะเข้ามาอยู่ในตัวคุณได้ แต่พรเยซุกล่าวเป็นคำสัญญาว่า ใครก็ตามที่อธิษฐานรับเชื่อ ต้อนรับพระองค์เข้ามาในชีวิต พระองค์ก็จะทูลขอพระบิดา และพระองค์ก็จะปทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้มาอยู่ในตัวเราและอยู่กับเราตลอดไป คือพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง พระองค์เข้ามาอยู่ในตัวคุณแล้ว พระเยซูไม่ได้บอกว่า คุณต้องไปรับลมรับไฟและล้มลงไปนอนกลิ้งกับพื้นเสียก่อน ต้องให้ไฟแห่งพระเจ้าชำระคุณจนสะอาดบริสุทธิ์ก่อน แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงจะเข้ามาอยู่ในตัวคุณได้ ไม่ๆๆๆ พระเยซุไม่ได้พูดแบบนั้นเลยครับ ในวันที่คุณมาเป็นคริสเตียน คุณแค่สำนึกผิดสารภาพบาป อธิษฐานรับเชื่อพระเยซูอย่างจริงจังจริงใจ ในวันนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาอยู่ในตัวคุณแล้ว เพราะร่างกายคุณได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ไร้ตำหนิจากเลือดบริสุทธิ์ของพระเยซูฃแล้ว พระเจ้าจึงเข้ามาสถิตในตัวคุณได้ และเมื่อพระวิญญาณเข้ามาอยุ่ในตัวคุณแล้ว เกิดอะไรขึ้น พลังอำนาจฤทธิ์เดชของพระองค์ก้เข้ามาด้วยสิครับ ไม่ใช่มาแต่ตัวแล้วฤทธิ์เดชไม่มาด้วย คือจะเข้ามาอยู่ในตัวคุณทั้งฤทธิ์เดชและความรัก ถ้าคุณอะิษฐานทูลขอให้พระองค์ครอบครองทุกอารมณ์ความคิดจิตใจของคุณบ่อยๆ คุณก็จะเต็มเปี่ยมเต็มล้นในพระองค์ แล้วก็จะเกิด 2 สิ่งขึ้นคือ
สิ่งแรก คุณจะได้รับของประทานพิเศษ อาจจะขับผีได้ อาจจะรักษาโรคได้ อาจจะเทศนาสั่งสอนได้ อาจจะพูดภาษาแปลกๆได้ แต่ละคนได้รับไม่เหมือนกัน แล้วแต่พระองค์จะประทานให้ ใครได้รับอะไรก็รับใช้ไปตามของประทานที่ได้รับ ดังที่ท่านเปาโลกล่วไว้ใน 1 โครินธ์ 12:4-11
คือถ้าพระองค์ไม่ได้ประทานฤทธิ์เดชให้คุณได้เหมือนคนอื่น ก็อย่าตำหนิตัวเองหรือคิดว่าพระองค์ไม่ได้อยู่ในตัวคุณ เพราะคุณจะได้รับของประทานด้านอื่นสำหรับการรับใช้ในด้านอื่นๆที่แตกต่างจากคนอื่นครับ
สิ่งที่สองก็คือ ถ้าคุณเข้าสนิทใกล้ชิดพระองค์ อ่านพระคัมภีร์เฝ้าเดี่ยวอธิษฐานกับพระองค์บ่อยๆทุกๆวัน พระองค์ก็จะเปลี่ยนแปลงจิตใจของคุณ ทำให้อุปนิสัยของคุณค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระองค์ เกิดอะไรขึ้น คุณก็จะเกิดนิสัย 9 อย่างของพระเจ้าขึ้นไงหล่ะครับ ดังที่เขียนไว้ใน กาลาเทีย 5:22-23 คือ คุณจะกลายเป็นคนมีความรัก มีความชื่นชมยินดี มีสันติสุข มีคความเมตตาปราณี มีความถ่อมสุภาพ มีความซื่อสัตย์ อดทน และมีวินัยรุ้จักควบคุมตนเอง นี่คือผลที่เกิดขึ้นจากการที่พระวิญญาณเข้ามาอยู่ในตัวคุณ และคุณได้ใช้เวลาพัฒนาความสัมพันธ์กับพระองค์ไปทุกวันๆครับ
ถ้าคุณอยู่ในคริสตจักรที่เฝ้าสอนให้คุณเป้นคนเคร่งครัดตามกฎศาสนาหรือกฎของโบสถ์ โดยไม่ได้สอนให้คุณรู้วิธีพึ่งพาพลังของพระวิญญาณ และดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ คุณจะกลายเป็นคริสเตียนศานาครับ หรือสุดโต่งไปอีกด้านคือ ถ้าคุณยังจมอยู่แต่ในบาป และเอาแต่พูดว่า พระเยซูทำแทนคุณทุกอย่างแล้ว แบบนี้คุณก็จะถูกเรียกว่า คริสเตียนเนื้อหนังครับ แต่ถ้าติดสนิทใกล้ชิดพระวิญญาณ และดำเนินชีวิตตามการทรงนำของพระวิญญาณเสมอ คุณก็จะถูกเรียกว่า คริสเตียนฝ่ายวิญญาณครับ ลองทบทวนตัวเอง ขณะนี้คุณอยู่ในคริสตจักรแบบไหน คริสตจักรศาสนา หรือคริสตจักรเนื้อหนัง หรือคริสตจักรพระวิญญาณ คุณต้องรู้ตัวตรงนี้ก่อน เพราะยิ่งคุณเลือกที่จะผูกพันกับคริสตจักรแบบใด ชีวิตคุณก็จะเป็นแบบนั้นครับ
เอาหล่ะครับ มาร่วมสนุกกัน เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ คุณได้รับเรม่าห์อะไร ก็ให้เขียนคอมเม้นท์ลงในใต้คลิปนี้นะครรับ
คุณเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้แล้วหรือยังว่า คุณจะมีคุณสมบัติเป็นคนไร้ตำหนิ ได้อย่างไร ตามที่ดาวิดกล่าวไว้ในสดุดีบทนี้ ? คุณจะพยายามบังคับตัวเองให้ทำได้จนมีคุณสมบัติไร้ตำหนิดังกล่าว หรือคุณจะใช้วิธีใหม่ คือเชื่อในกางเขนและพระโลหิตพระเยซูที่ช่วยล้างชะระให้คุณไร้ตำหนิ? แล้วเชือว่าพระวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในตัวคุณแล้ว จากนั้นก็รับการเปลี่ยนแปลงจากพระองค์ไปวันต่อวันจนมีนิสัย 9 อย่างแบบพระองค์? คุณจะทำด้วยกำลังตัวเอง หรือจะพึ่งพาพลังของพระวิญญาณที่สถิตอยู่ในตัวคุณ?
เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ ให้คุณหยุดและอธิษฐานขอพระวิญญาเปิดเผยสำแดงให้คุณได้รู้ว่า คุณเป็นคนอย่างไร ? คุณมักคิดว่า คุณไม่บริสุทธิ์ไม่ดีพ่อ หรือไม่คู่ควรที่พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานของคุณ เพราะคุณยังมีตำหนิอยู่หรือไม่? คุณมักคิดว่า คุณจะต้องพยายามให้มากขึ้นในการทำตัวให้บริสุทธิ์ เพื่อจะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าหรือไม่? หรือคุณใช้ความเชื่อในพระเยซู และดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อนั้น แล้วพึ่งพาพลังอำนาจของพระวิญญาณในตัวคุณ ให้คุณกลายเป็นคนแบบที่พระเจ้าต้องการให้คุณเป็น? ให้คุณอธิาฐานขอพระวิญญาณเปิดเผยให้คุณได้รับรู้นะครับ ขณะนี้คุณเป็นคริสเตียนศาสนา หรือเป็นคริสเตียนเนื้อหนัง หรือเป็นคริสเตียนฝ่ายวิญญาณทีด่ำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ?
พรุ่งนี้เราจะเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยกัน เพื่อจะรับการเปลีี่ยนแปลงจากพระวิญญาณ แล้วชีวิตคุณจะไม่ขาดการอัศจรรย์เลย คุณจะกลายเป็นท่อพระพรใหญ่สู่ผู้คนในวงกว้างมากมายได้ อาเมนมั๊ยพีน้อง ขอพระเจ้าอวยพร