🔥 **ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์ ด้วยการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ สดุดี 23** 🔥
📖 วันนี้เรายังอยู่ที่ **สดุดี 23:4**—ดาวิดประกาศความเชื่อมั่นว่า **"แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์"** ✝️
💡 **Key Takeaways:**
✅ **"ไม่กลัว"** เพราะ **พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย** 🕊️
✅ ประกาศความเชื่อ ไม่ใช่แค่ขอๆๆ แต่เป็นการย้ำให้ตัวเองมั่นใจในพระเจ้า 💪
✅ **ความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า** คือกุญแจสำคัญที่จะสัมผัสการทรงสถิต 🙌
📌 คุณอยากสัมผัสการทรงสถิตของพระเจ้าตลอดเวลาหรือไม่? อย่าพลาดการแบ่งปันเรม่าห์ในคลิปนี้! 🎥✨
🔥 **กดไลก์ 👍 แชร์ 💬 และกดติดตาม 🔔 เพื่อไม่พลาดซีรีส์เฝ้าเดี่ยวสดุดี!**
#สดุดี23 #เฝ้าเดี่ยว #พระเจ้าทรงสถิต #ความเชื่อ #ไม่มีความกลัว #พระวิญญาณบริสุทธิ์
จัดทำคลิปโดย ..... คุณบิ๊ก
พันธกิจ .... Big Miracle
Line ID ... BigBig477
สวัสดีครับพี่น้อง คุณกำลังอยู่ในซีรีย์" ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์ ด้วยการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ สดุดี คลิปนี้ เรายังอยู่ในบทที่ 23 นะครับ พระเจ้าหยุดผมไว้ที่บทนี้หลายคลิป เพราะมีเรม่าห์มากมายที่พระองค์จะสอนผมครับ
ในคลิปก่อนหน้า เป็นข้อ 1-3 ดาวิดประกาศความเชื่อมั่นถึงการเลี้ยงดูของพระเจ้าไม่ขัดสน ทั้งเลี้ยงดูด้านร่างกายและด้านจิตวิญญาณ และสำหรับคลิปนี้ เป็นข้อ 4 ดาวิดประกาศความเชื่อมั่นถึงการปกป้องคุ้มครองจากพระเจ้าครับ
ในข้อ 4 ดาวิดกล่าวว่า แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์
ถ้าคุณสังเกตุให้ดี นี่เป็นการประกาศความเชื่อนะครับ ไม่ใช่การอธิษฐาน การประกาศความเชื่อไม่ใช่การขอๆๆๆ แต่เป็นการตอกย้ำยืนยันความเชื่อวางใจพระเจ้าให้ตัวเองได้ยินครับ เพราะขณะที่ดาวิดพูดแบบนี้ เขายังไม่ได้หลุดพ้นจากปัญหาเลยนะครับ เขายังหนีตายหัวซุกหัวซุนในถิ่นทุรกันดาร และเมื่อเดินทางผ่านหุบเขา ทำไมจึงเรียกว่า เงามัจจุราช เพราะสมัยก่อน ศัตรูมักแอบซุ่มทำร้ายตามหุบเขาครับ จึงแฝงด้วยอันตรายสุดขีดเลยในขณะเดินผ่านหุบเขา ทีเป็นเหมือนเงามัจจุราช แต่คุณจะสังเกตุว่า ดาวิดไม่ได้เอาแต่อธิษฐานขอๆๆๆ ขอให้พระเจ้าช่วย แต่เขาประกาศความเชื่อแทนครับ เขาตอกย้ำความเชื่อวางใจในพระเจ้าว่าอะไรบ้าง
ให้คุณหยุดชั่วขณะและอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานเรม่าห์พิเศษให้แก่คุณ
สำหรับผม ใคร่ครวญไปมาแล้ว ก็มีคำว่า "ไม่กลัว" และคำว่า "ทรงสถิตอยู่ด้วย" เด้งขึ้นมาจากหนังสือพระคัมภีร์ข้อนี้ครับ
ดาวิดประกาศความเชื่อว่า แม้จะเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราชที่น่ากลัว เขาก็ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะอะไรครับ เรม่าห์ที่ได้รับคือ
ประการแรก เขาไม่กลัว ไม่ใช่เพราะเขามั่นใจในความสามารถการเป็นนักรบของตัวเอง แต่เขามั่นใจว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขาครับ นี่คือเคล็ดลับขจัดความหวาดกลัวออกไปได้อย่างชงัด
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง
ยอห์น 14:16-17 พระเยซูกล่าวไว้ว่า "เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้สถิตอยู่กับพวกท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริงที่โลกรับไว้ไม่ได้..."
พระเยซูทรงประทานพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ให้มาสถิตอยู่ในคุณและผมแล้วตั้งแต่วันที่อธิษฐานรับเชื่อต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต และพระเยซูสัญญาว่า พระองค์จะอยู่กับคุณและผมตลอดไปด้วยครับ
แล้วพระวิญญาณทำให้ผมระลึกได้ถึง
1 โครินธ์ 3:16 ที่ท่านเปาโลกล่าวว่า "ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน?"
พระวิญญาณก็ตอกย้ำให้ผมมั่นใจว่า พระองค์ทรงสถิตอยู่ในร่างกายผมตลอดเวลา และอยู่ในตัวคุณด้วยครับ เพราะร่างกายของพวกเราคริสเตียนคือวิหารของพระเจ้านะครับ
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง โรม 8:38-39 ที่ท่านเปาโลกล่าวว่า "เพราะข้าพเจ้ามั่นใจว่า... ไม่มีสิ่งใดจะสามารถแยกเราจากความรักของพระเจ้า ที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้"
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ พระเจ้าไม่เพียงสถิตอยู่ในตัวเราเฉยๆ แต่พระองค์ยังอยู่กับเราด้วยความรักอย่างถาวรนิรันดร์ ไม่ใช่อยู่ในตัวเราด้วยความโกรธเกลียดเรานะครับ
ดังนั้น การสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้า จึงขับไล่ความหวาดกลัวอันตรายทุกชนิดออกไปจากดาวิดอย่างได้ผลชงัด แม้จะเดินในหุบเขาเงามัจจุราช ดาวิดก็ไม่กลัว เพราะมั่นใจได้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้าที่อยู่กับเขาตลอดเวลา
เรม่าห์ที่ผมได้รับคือ ถ้าหวาดกลัวกับแรงกดดันของปัญหาต่างๆที่จู่โจมเข้ามา ก็ให้ระลึกถึงการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ด้วยตลอดเวลา จะทำให้หายจากความหวาดกลัวได้ เหมือนเด็กเล็กๆที่ไปไหนมาไหนแล้วมีพ่อแม่ไปด้วย เด็กเล็กๆก็จะไม่รู้สึกหวาดกลัวเลย อาเมนมั๊ยครับพี่น้อง
แต่ผมมีคำถามหนึ่งนึกขึ้นมาได้ เพราะเมื่อเร็วๆนี้ มีพี่น้องบางท่านทักมาขอคำปรึกษากับผม เพราะเขากำลังหวาดกลัวกับปัญหาบางอย่างที่จู่โจมเข้ามา ผมจึงหนุนใจเขาไปด้วยข้อพระคัมภีร์ที่ตอกย้ำความเชื่อว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขา เขาไม่ต้องหวาดกลัวอะไร พระเจ้าจะมีทางออกให้เสมอ แต่มันไม่ได้ผลครับ เพราะเขาก็ยังคงหวาดกลัวเคร่งเครียดกับปัญหาจนนอนไม่หลับอยู่เหมือนเดิม
ผมจึงถามพระวิ้ญญาณว่า ในกรณีแบบนี้ เราจะช่วยให้พี่น้องสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้าตลอดเวลาได้อย่างไร เพื่อเขาจะได้ไม่หวาดกลัวเคร่งเครียดกับปัญหาที่จู่โจมเข้ามา
แล้วผมก็สัมผัสได้ว่า พระวิญญาณยิ้มให้ผมในวิญญาณจิตอย่างเอ็นดูรักใคร่ พระองค์สอนผมว่า การจะสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระองค์อยู่ด้วยตลอดเวลานั้น ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆทันทีทันใด เพราะจะต้องใช้เวลาพัฒนาความสัมพันธ์อย่างสนิทสนมเป็นส่วนตัวกับพระองค์ก่อน คนที่ไม่ค่อยใกล้ชิดกับพระเจ้า ก็จะไม่ค่อยสัมผัสได้ถึงการทรงสถิต แต่ดาวิดเขาใกล้ชิดพระเจ้าตลอด เขาจึงสัมผัสได้ถึงการทรงสถิต และทำให้เขาไม่หวาดกลัวอันตรายใดๆ
แม้ข้อพระคัมภีร์นี้จะบอกเคล็ดลับการหายหวาดกลัว คือการตระหนักถึงการทรงสถิตของพระเจ้าตลอดเวลา แต่หลายคนแม้จะรู้ ก็รู้แค่ไหนสมองจากการอ่านพระคัมภีร์หรือจากการฟังคำเทศนาเท่านั้น แต่ไม่ได้เข้ามาพัฒนาความสัมพันธ์สนิทอย่างเป็นส่วนตัวกับเรา พวกเขาจึงแม้จะรู้เคล็ดลับ แต่ก็ยังไม่หายหวาดกลัวอยู่ดีนั่นเอง
โอ้ไอซี ผมเริ่ม get มากขึ้น เพราะผมเองก็เคยเป็นแบบนี้คือ ผมรู้ว่าพระวิญญาณบรสุทธิ์สถิตอยู่ในตัวผม ความรู้นี้อยู่แค่ในสมอง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น แต่ความรู้แค่ในสมอง ไม่ได้ช่วยให้หายหวาดกลัวได้ เพราะไม่ได้มีความสัมพันธ์สนิทเป็นส่วนตัวกับพระองค์จริงๆนั่นเอง
จนกระทั่งในช่วงล็อคดาวน์โควิดหลายปีที่ผ่านมา ผมมีกิจกรรมทางธุรกิจลดน้อยลงไปมาก จึงมีเวลาว่างมาก ผมจึงได้เอาเวลา 70% ของแต่ละวัน มาพัฒนาความสนิทสนมกับพระวิญญาณ ด้วยการเฝ้าเดี่ยววันนึง 4-5 ชั่วโมงเลยนะครับ และจัดทำคลิปแบ่งปันเรม่าห์ไว้ในยูทูปช่องนี้ ตอนนี้ก็ 900 กว่าคลิปแล้วครับ
ต้องขอบคุณโควิดเป็นที่สุด เพราะการล็อคดาวน์นั้น ทำให้ผมได้มีโอกาส ย้ายความรู้จากพระคัมภีร์ที่อยู่แค่ในสมอง ลงมาอยู่ภายในจิตใจจิตวิญญาณ และมันจึงทำให้ผมสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระองค์ตลอดเวลา
พี่น้องที่รัก ถ้าขณะนี้คุณกำลังติดกับดักของอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นกับดักของหนี้สิน กับดักของความเจ็บป่วยเรื้อรัง กับดักของความสัมพันธ์ที่แตกร้าว หรือบางคนอาจกำลังติดคุกจริงๆ อย่ามัวแต่หวาดกลัววิตกกังวลกับอนาคต เพราะขยับจะทำอะไรก็ไม่ได้ ทุกอย่างดูเหมือนมีความจำกัดไปหมด
ผมขอหนุนใจว่า ทางแก้ก็คือ ให้คุณขอบคุณพระเจ้าได้เลยครับ เพราะมันเป็นโอกาสยอดเยี่ยม ที่คุณจะได้ปล่อยวางกิจกรรมมากมายที่ถ่วงให้คุณไม่มีเวลาเข้าหาพระเจ้า และจะได้เอาเวลาว่างมากมายมาพัฒนาความสัมพันธ์สนิทสนมใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้น จนสามารถสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระองค์ แล้วชีวิตคุณจะไม่ขาดการอัศจรรย์เลยครับ
แล้วจะทำอย่างไรจึงจะใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้าโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ เพื่อจะได้สัมผัสถึงการทรงสถิตได้ตลอดเวลา และหายจากความหวาดกลัวต่อปัญหาที่จู่โจมเข้ามา?
พระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึงเหตุการณ์ในอดีตหลายๆครั้งที่พระองค์ได้สอนผมผ่านการเฝ้าเดี่ยว ซึ่งมีหลายกิจกรรมที่คุณสามารถทำได้ เพื่อพัฒนาความสนิทสนมกับพระองค์ครับ เพราะลำพังแค่ไปโบสถ์วันอาทิตย์หรือเข้ากลุ่มเซลล์สัปดาห์ละครั้ง มันไม่พอครับที่จะพัฒนาความสนิทสนมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันก็ดีอยู่ที่ทำนะครับ ไม่ใช่ไม่ดี แต่มันน้อยเกินไป ยังมีอีกหลายๆกิจกรรมที่จะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์กับพระองค์ จนสัมผัสได้ถึงการทรงสถิต ก็ได้แก่
พระวิญญาณทำให้ผมระลึกได้ถึง
ฮีบรู 11:1 ที่กล่าวว่า ความเชื่อ คือความแน่ใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง
นี่เป็นกิจกรรมแรกที่คุณต้องทำคือ คุณต้องสร้างความเชื่อให้กับตัวคุณเองก่อนว่า พระเจ้าที่คุณมองไม่เห็นนั้นมีอยู่จริง และกำลังอยู่ในตัวคุณ ถ้าคุณไม่มีความเชื่อนี้ ทุกอย่างก็จบครับ แม้พระองค์จะอยู่ในตัวคุณ แต่เมื่อคุณไม่มีความเชื่อ คุณก็ไม่กระตือรือร้นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับพระองค์ผู้สถิตอยู่ในตัวคุณ
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง
โรม 10:17 ที่ท่านเปาโลกล่าวว่า ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระวจนะของพระเจ้า
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง นี่เป็นกิจกรรมที่สองที่คุณต้องทำให้บ่อยที่สุดครับ คือการประกาศพระวจนะ ประกาศให้ใครฟัง ? คนแรกที่ควรประกาศก็คือตัวคุณเองครับ คุณต้องประกาศพระวจนะให้ตัวคุณได้ยินเองบ่อยๆ พระวจนะข้อไหน ? ก็คือข้อที่ท่านเปาโลกล่าวว่า ร่างกายของคุณเป็นวิหาร เป็นที่ทรงสถิตของพระวิญญาณของพระเจ้าไงหล่ะครับ
คุณต้องประกาศพระวจนะข้อนี้ให้ตัวเองฟังบ่อยที่สุด แล้วคุณจะเกิดความเชื่อขึ้นว่าพระองค์กำลังสถิตอยู่ในตัวคุณ ความเชื่อนี้ไม่ได้อิงอยู่บนความรู้สึกว่า ตัวคุณจะต้องร้อนวูบวาบ หรือล้มลงไปนอนกลิ้งกับพื้นหัวเราะร้องไห้ไม่หยุด ไม่ๆๆๆ ความเชื่อแท้่ของคริสเตียน ไม่ได้อิงกับประสบการณ์ของใครบางคนที่คุณไปเห็นมา ความเชื่อแท้จะไม่ได้อิงกับประสบการณ์ส่วนตัว หรืออารมณ์ความรู้สึกใดๆ
ความเชื่อแท้ จะต้องอิงอยู่บนพระคัมภีร์ครับ เพราะข้อความทุกข้อในพระคัมภีร์ ประพันธ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เอง และพระองค์บอกให้มนุษย์บางคนที่สื่อสารกับพระองค์ได้เขียนขึ้น เพื่อให้พวกเราที่ยังสื่อสารกับพระองค์ไม่ค่อยได้ จะได้อ่านกันไงหล่ะครับ ถ้าพระเจ้าใช้วิธีให้คุณล้มลงไปนอนกลิ้งกับพื้น พระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องให้มีคนเขียนพระคัมภีร์เพื่อให้คุณและผมอ่านสิครับ จริงมั๊ยครับพี่น้อง นี่เป็นแค่เหตุผลง่ายๆที่หลายๆคนก็ไม่เข้าใจ ทั้งๆที่ควรจะเข้าใจไม่ยาก
ผมขอย้ำนะครับ ทั้งคุณและผม จะต้องเอาความเชื่อมาอยู่ที่พระวจนะ ที่ท่านเปาโลบอกว่า พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในร่างกายเราแล้ว ไม่ใช่มัวเอาความเชื่อไปอยู่ที่เห็นคนล้มและนอนกลิ้งกับพื้นหัวเราะร้องไห้แล้วคิดว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ไม่ๆๆๆเลยครับ
ท่านเปาโลกล่าวว่า ความเชื่อว่าเกิดจากการได้ยินพระวจนะ ไม่ใช่เกิดจากเห็นคนกลิ้งกับพื้นหัวเราะร้องไห้ไม่หยุดครับ เพราะพระวจนะพระเจ้าเป็นความจริงเสมอ ไม่ได้ขึ้นกับประสบการณ์แปลกๆส่วนตัวของใครบางคน และไม่ได้ขึ้นกับอารมณ์ความรู้สึกด้วย ขอหนุนใจให้คุณฝึกฝนจิตใจคุณให้ยึดมั่นในพระวจนะ ไม่ใช่ไปยึดมั่นในประสบการณ์แปลกๆหรืออารมณ์ความรู้สึกครับ
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง
📖 ยากอบ 4:8 → "จงเข้ามาใกล้พระเจ้า และพระองค์จะเสด็จเข้าใกล้ท่าน"
ตรงนี้เรม่าห์ที่ผมได้รับคือ วิธีเข้ามาใกล้พระเจ้าง่ายที่สุดก็คือ สนทนาสื่อสารสองทางกับพระองค์บ่อยๆครับ ยิ่งผมพูดคุยและใช้เวลากับพระเจ้ามากเท่าไร ผมก็ยิ่งสัมผัสถึงการทรงสถิตของพระองค์ได้มากขึ้นเท่านั้น
คือถ้าคุณคุยกับมนุษย์มาก ไม่ว่าจะคุยแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ คุณก็จะสัมผัสถึงการทรงสถิตน้อย เพราะใจคุณต้องจดจ่อกับมนุษย์ที่คุยด้วยใช่มั๊ยครับ แต่ถ้าคุณอยู่เงียบๆคนเดียวไม่มีใครคุยด้วย แล้วคุณหันมาคุยกับพระเจ้าแทน คราวนี้คุณจะว่องไวต่อการรู้ทันความคิดที่ผุดขึ้นมาเองโดยไม่ตั้งใจคิดแล้วครับ ซึ่งความคิดที่ผุดขึ้นมาเองนี้ มาจาก 3 แหล่งคือ มาจากความคิดเนื้อหนังของตัวเอง หรือมาจากมารซาตาน และก็มาจากพระเจ้า
ถ้าคุณอ่านพระคัมภีร์บ่อยๆ คุณก็จะแยกแยะได้ว่า ความคิดไหนมาจากพระเจ้าหรือมาจากมารครับ เมื่อคุณรู้ทันความคิดที่ผุดขึ้นมาเองบ่อยๆ และวินิจฉัยได้ว่าเป็นความคิดที่มาจากพระเจ้า นั่นก็จะทำให้คุณเริ่มสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ชัดขึ้นเรื่อยๆแล้วหล่ะครับ
ผมได้สิ่งนี้มาในช่วงล็อคดาวน์โควิด เพราะผมไม่มีใครจะคุยด้วย เพราะเพื่อนๆคนรู้จักทุกคนก็ล้วนถูกกักตัวอยู่แต่ในบ้าน ผมจึงหันมาคุยกับพระวิญญาณบริสุทธิ์แทน คุยทั้งวันทุกวัน ก็เลยสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระองค์ครับ จะกินข้าวก็คุยกับพระองค์ จะอาบน้ำก็คุยกับพระองค์ จะกวาดบ้านถูบ้านก็คุยกับพระองค์
แล้วเอาอะไรมาคุยกับพระองค์หล่ะ สิ่งที่พระองค์ชอบคุยที่สุดคือ เรื่องราวจากพระคัมภีร์ไบเบิลครับ เพราะพระองค์เป็นผู้ประพันธ์ไงหล่ะครับ คุยเรื่องพระเจ้าพระบิดา คุยเรื่องพระเยซู คุยเรื่องลักษณะชีวิตของบุคคลต่างๆในพระคัมภีร์ คุยเรื่องพระพรนานาประการฝ่ายวิญญาณที่ได้รับจากข่าวประเสริฐ เมื่ออ่านพระคัมภีร์เรื่องอะไร ไม่ใช่ตลุยอ่านให้จบเร็วๆ แต่อ่านแล้วก็เอามาคุยกับพระวิญญาณบริสุทะิ์ครับ
คล้ายๆกับที่ผมทำตอนเฝ้าเดี่ยวอยู่นี้ อ่านพระคัมภีร์ไปสองสามข้อ แล้วก็มาคุยกับพระวิญญาณ ได้รับเรม่าห์อะไร ก็เอามาแบ่งปันพี่น้องไงหล่ะครับ เรื่องแบบนี้ใครๆก็ทำได้ ผู้เชื่อใหม่ก็ทำได้ ไม่ต้องมีของประทานพิเศษอะไรเลย
ถ้าคุณยอมอุทิศเวลาฝึกฝนทักษะการสนทนาคุยกับพระองค์ให้มากๆ จนได้ยินเสียงของพระองค์แล้ว จะเกิดอะไรขึ้น สิ่งแรกก็คือ คุณก็จะสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตเองไงหล่ะครับ ไม่ต้องไปนอนกลิ้งกับพื้นหัวเราะร้องไห้ไม่หยุด แล้วจึงคิดว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย แค่เอาเวลามาอ่านพระคัมภีร์และเอามาสนทนาพูดคุยกับพระวิญญาณ คุณก็สัมผัสได้ถึงการทรงสถิตแล้วครับ สิ่งแรกที่เกิดขึ้นคือ ความหวาดกลัววิตกกังวลต่อปัญหาต่างๆที่จู่โจมเข้ามา ก็จะลดน้อยลงไปเหมือนดาวิดในสดุดีบทนี้ครับ เพราะคุณสัมผัสได้ถึงพระเจ้าอยู่กับคุณตลอดเวลาไงหล่ะครับ ดาวิดเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เขาใช้เวลาว่างดีดพิณร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า โมทนาพระคุณพระเจ้า และอธิษฐานพูดคุยกับพระเจ้าทุกวัน เขาจึงสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้าไงหล่ะครับ ดาวิดไม่ได้ล้มลงไปนอนกลิ้งหัวเราะร้องไห้กับพื้นไม่หยุด แล้วบอกว่าสัมผัสได้ถึงการเจิมการทรงสถิตของพระเจ้าเลยนะครับ จริงมั๊ยครับพี่น้อง
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง
📖 โยชูวา 1:8 → "อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างจากปากของเจ้า แต่จงใคร่ครวญตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน..."
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง นี่ก็เป็นกิจกรรมที่สาม ที่จะทำให้คุณสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้า
คือในช่วงติดล็อคดาวน์โควิด คุณใช้เวลาส่วนใหญ่ทำอะไรครับ? ผมเองเคยเสียเวลาไปทั้งวันกับการนั่งดูหนังซีรีย์เกาหลี เพราะออกไปไหนไม่ได้ แล้ววันนึงผมก็เบื่อสุดๆ ดูติดๆกับหลายเรื่องแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น ผมจึงตัดสินใจจะดูแค่เฉพาะตอนกินข้าว กินข้าวเสร็จก็เลิกดู แล้วเอาเวลาที่เหลือทั้งวัน หันมาคุยกับพระวิญญาณ และเอาเวลามาอ่านพระคัมภีร์ครับ
ผมอ่านไปใคร่ครวญไปทั้งกลางวันกลางคืน แบบที่โยชูวากล่าวไว้ในบทที่ 1:8 พระวจนะของพระเจ้าเป็นเหมือน กระจก ที่สะท้อนให้คุณเห็นว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเราเสมอ ถ้าคุณไม่อ่านพระคัมภีร์ คุณจะลืมพระสัญญาและลืมข้อความเชิงบวกดีๆจากข่าวประเสริฐที่เป็นพระพรฝ่ายวิญญาณมากมาย แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ คุณก็จะเกิดความหวาดกลัววิตกกังวลก็จะเข้ามาครอบงำครับ
สำหรับบางคนไม่ถนัดอ่าน ก็ใช้วิธีเปิดฟังในยูทูปได้ มีคนอ่านพระคัมภีร์ให้ฟังมากมาย ผมเบื่อโฆษณาคั่น พระเจ้าก็ส่งคนมาแนะนำวิธีสมัครถูกๆแค่เดือนละ 69 บาท แล้วก็ทำให้เปิดดูเปิดฟังคลิปดีๆได้อย่างสบายใจไม่ถูกรบกวนด้วยโฆษณา
มีพี่น้องบางคนก็เปิดฟังคำเทศนาของอาจารย์ท่านนั้นท่านนี้ทั้งวัน แต่ตรงนี้ต้องระวังให้ดีนะครับ คำเทศนาในยูทูป บางทีก็สร้างความเชื่อที่ไม่สมดุล เพราะผู้เทศนาอาจตีความผิดและก็เอามาสอนผิดๆ ซึ่งเป็นเพียงความรู้ในสมองของเขา แต่ไม่ได้ออกมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วอาจทำให้คุณได้รับอาหารฝ่ายวิญญาณที่ไม่บริสุทธิ์ก็ได้ครับ
ต้องเลือกฟังคำเทศนาที่ไม่มีสารพิษเจือปนด้วยนะครับ คือจะต้องสอดคล้องถูกต้องตามหลักการจากพระคัมภีร์ และต้องไม่เอาพันธสัญญาเดิมมาปนกับพันธสัญญาใหม่จนมั่วไปหมดนะครับ พันธสัญญาเดิมก็ดีอยู่ เพื่อให้รู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมา
แต่การดำนเินชีวิตคริสเตียน ไม่ใช่ไปอ้างอิงกับพันธสัญญาเดิมอีก การดำเนินชีวิตคริสเตียนในปัจจุบัน ต้องอ้างอิงจากหลักข้อเชื่อของพันธสัญญาใหม่เท่านั้นครับ เพราะคุณและผมอยู่ในทามไลน์หลังจากทีพ่ระเยซูสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์ มีชัยชนะเหนือบาปและซาตานแล้ว คุณต้องเข้าใจจุดยืนตัวเองด้วยขณะทีฟังคำเทศนาคนอื่นครับ
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง
📖 กาลาเทีย 5:16 → "จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วท่านจะไม่ทำตามแรงปรารถนาของเนื้อหนัง"
เห็นมั๊ยครับพีน้อง นี่เป็นกิจกรรมที่สี่ ที่จะช่วยให้คุณสัมผัสถึงการทรงสถิตได้ คือเมื่อคุณฝึกคุยกับพระวิญญาณบ่อยๆ จนคุ้นเคยกับเสียงของพระองค์แล้ว ซึ่งโดยปกติไม่ได้พูดใส่หูคุณนะครับ แต่ส่งความคิดบางอย่างที่ปิ๊งแวบเข้ามาในหัวคุณ โดยที่คุณไม่ได้ตั้งใจคิด และเป็นความคิดที่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ นั่นแหละคือเสียงของพระวิญญาณ ถ้าคุณว่องไวรู้ทันความคิดที่มาจากพระองค์แล้ว กิจกรรมที่สี่คือ ให้คุณเชื่อฟังทำตามเสียงของพระองค์ กิจกรรมนี้จะช่วยให้คุณไม่เพียงสัมผัสถึงการทรงสถิต แต่จะยิ่งสนิทสนมลึกซึ้งกับพระองค์มากยิ่งขึ้นด้วย ยิ่งคุณเชื่อฟังเสียงของพระวิญญาณมากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งใกล้ชิดสนิทสนมกับพระองค์มากยิ่งขึ้นครับ
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง
📖 สดุดี 77:11 → "ข้าพเจ้าจะระลึกถึงพระราชกิจของพระเจ้า ข้าพเจ้าจะจดจำการอัศจรรย์ของพระองค์ในอดีต"
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง นี่เป็นกิจกรรมที่ห้า ที่จะช่วยให้คุณสัมผัสถึงการทรงสถิตและสนิทสนมกับพระองค์อีกวิธีหนึ่ง คือ คุณควรทบทวนการอัศจรรย์ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวคุณบ่อยๆนะครับ มันจะยิ่งช่วยตอกย้ำความเชื่อว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับคุณได้ชัดเจนมากขึ้น ผมเองก็มีนิสัยชอบจดบันทึกการตอบคำอธิษฐานของพระเจ้าทุกวันตอนเฝ้าเดี่ยว เพราะทำให้ผมสัมผัสถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าในชีวิตผมครับ ทำให้ผมไม่หลงลืมว่า พระเจ้าอยู่กับผมตลอดเวลา และทำให้ความหวาดกลัววิตกกังวลหายไปครับ
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง
📖 ฮีบรู 10:25 → "อย่าขาดการประชุมร่วมกัน เหมือนที่บางคนขาดอยู่นั้น ..."
ตรงนี้ก็คือ กิจกรรมที่หก คือการใช้เวลามีสามัคคีธรรมกับพี่น้องในคริสตจักรของคุณ หรือเข้ากลุ่มเซลล์เป็นประจำก็จะช่วยได้มาก ซึ่งจะเสริมสร้างความเชื่อมั่นว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยครับ
แต่คุณต้องเลือกโบสถ์ที่เต็มเปี่ยมเต็มล้นด้วยพระวิญญาณนะครับ ไม่ใช่โบสถ์ที่แห้งๆเต็มเปี่ยมด้วยกฎศาสนา เพราะถ้าเลือกเข้าโบสถ์ที่ปราศจากการทรงสถิตของพระวิญญาณ คุณก็จะไม่สัมผัสถึงถึงการทรงสถิตไงหล่ะครับ และคุณก็จะยังคงจมอยู่กับความหวาดกลัววิตกกังวลเคร่งเครียดต่อปัญหาต่อไปครับ
หรือบางโบสถ์ใช้ความกลัวมาข่มขู่ให้คุณเชื่อฟังพระเจ้า ถ้าคุณไม่เชื่อฟังพระเจ้าจะถูกลงโทษ พระเจ้าจะไม่อวยพร คุณจะตกอยู่ในคำแช่งสาป โบสถ์ที่เอาความกลัวมาข่มขู่สมาชิกให้เชื่อฟังพระเจ้า จะยิ่งทำให้คุณเคร่งเครียดหวาดกลัวมากขึ้นไปใหญ่ครับ กลายเป็นคริสเตียนที่อับเฉาแห้งแล้ง หดหู่ห่อเหี่ยวท้อแท้ซึมเศร้าอยากตายไปเลย เพราะไม่ได้สัมผัสถึงความรักของพระเจ้าไงหล่ะครับ จำได้มั๊ย พระเจ้าทรงเป็นความรัก สำหรับคนในพันธสัญญาใหม่ โบสถ์ที่เต็มล้นด้วยการทรงสถิตของพระวิญญาณ ก็จะเต็มล้นด้วยความรักด้วยอย่างอัตโนมัติ และจะช่วยให้คุณสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระองค์ชัเจนครับ
ดังนั้น ถ้าคุณเข้าผิดโบสถ์ ก็มีผลกระทบเลวร้ายต่อจิตวิญญาณคุณได้นะครับ ให้คุณอธิษฐานขอพระเจ้าทรงนำให้คุณได้เข้าโบสถ์มีสามัคคีธรรมกับพี่น้องที่เขาเต็มเปี่ยมเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ แล้วคุณจึงจะหายจากความหวาดกลัวเพราะสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้าในตัวคุณได้ครับ ถ้าพระเจ้ายังไม่ทรงนำให้ไปเจอ ผมว่าอยู่กับพระองค์ที่บ้าน และใช้วิธีนมัสการออนไลน์กับโบสถ์ที่เต็มล้นในพระวิญญาณ ก็ยังดีเสียกว่าไปคลุกคลีกับโบสถ์ที่เต็มล้นด้วยวิญญาณศาสนา หรือเต็มล้นด้วยเนื้อหนังครับ เพราะคุณยิ่งใช้เวลาใกล้ชิดใคร คุณก็จะยิ่งกลายเป็นเหมือนเขาครับ
แล้วดาวิดก็กล่าวต่อว่า
คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์
ถึงตรงนี้ ให้คุณหยุดชั่วขณะและอธิษฐานถามพระวิญญาณว่า มีเรม่าห์พิเศษอะไรจะบอกคุณหรือไม่อย่างไร
สำหรับผม เรม่าห์ที่ผมได้รับคือ
ผมไปค้นหาความหมายของคำว่า คทา และธารพระกร คืออะไร ? จึงได้รู้ว่า คทา หมายถึง กระบองสั้นๆของคนเลี้ยงแกะ ใช้เพื่อต่อสู้กับสัตว์ร้ายและปกป้องฝูงแกะ เช่น ใช้ตีหมาป่าหรือสิงโตที่มาทำร้ายแกะ หรือใช้ดัดนิสัยแกะที่ดื้อ ให้มันเดินไปตามทางที่ถุกต้อง
เรม่าห์คือ สัญลักษณ์ของพลังอำนาจในการปกป้องจากพระเจ้าครับ ทั้งปกป้องจากศัตรู ซึ่งในด้านฝ่ายวิญญาณ ก็หมายถึงปกป้องเราจากอำนาจวิญญาณชั่วผีมารซาตาน หรือปกป้องเราจากการถูกล่อลวงให้ล้มลงในการทดลองยั่วยุให้ทำบาปเดินหลงออกจากทางของพระองค์ไป
ส่วนธารพระกร หมายถึง ไม้เท้ายาวๆที่มีปลายโค้งงอ (เหมือนตะขอ) คนเลี้ยงแกะใช้เพื่อดึงแกะที่ตกหลุมตกบ่อ หรือช่วยนำทางแกะ
เรม่าห์คือ เป็นสัญญลักษณ์ของการช่วยกอบกู้ และการช่วยนำทางจากพระเจ้าครับ
ดาวิดพูดถึงอุปกรณ์สองสิ่งนี้ เพื่อประกาศความเชื่อว่า เขามั่นใจในการปกป้องคุ้มครองจากพระเจ้า และถ้าพลาดตกหลุมตกบ่อ ก็มั่นใจว่า จะได้รับการกอบกู้ช่วยเหลือจากพระเจ้า และได้รับการนำทางใหม่ให้เดินอย่างถูกต้อง ความมั่นใจว่า ได้รับสองสิ่งนี้จากพระเจ้า จึงเป็นการเล้าโลมจิตใจให้หายจากความหวาดกลัวครับ นี่ก็คือกิจกรรมที่ 7 ที่คุณควรทำบ่อยๆคือ ประกาศความเชื่อ และร้องเพลงสรรเสริญถึงการปกป้องคุ้มครองจากพระเจ้า และการช่วยกอบกู้จากพระองค์ครับ แล้วคุณจะสัมผัสถึงการทรงสถิตและหายจากความหวาดกลัว ให้จด 7 กิจกรรมนี้ไว้เลยครับ และทำให้บ่อยที่สุด ผมกำลังรวบรวมคำแบ่งปันเรม่าห์ไว้ในเว็บไซต์ bigmiracle เสร็จแล้วจะแจ้งให้ทราบครับ ถ้าคุณทำ 7 กิจกรรมนี้บ่อยๆเป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยให้คุณสัมผัสถึงการทรงสถิตของพระเจ้าในชีวิตคุณได้อย่างชัดเจน และจะช่วยให้คุณหายจากความหวาดกลัววิตกกังวลต่างๆนาๆ แม้จะอยู่ในหุบเขาเงามัจจุราชก็ไม่กลัวครับ
ถึงตรงนี้ พระวิญญาณก็ทำให้ผมปิ๊งแวบนึกได้ถึง
ยอห์น 14:27 ว่า เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านแล้ว สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง สันติสุขที่เราได้รับ ก็มาจากการได้สัมผัสถึงการทรงสถิตของพระวิญญาณที่ประทับอยู่ในตัวเราครับ ซึ่งพระเยซูมอบให้แก่เราแล้ว พระองค์กล่าวเป็นคำสัญญาไว้ใน
มัทธิว 28:20 ว่า เราจะไม่ละเจ้าหรือทอดทิ้งเจ้าเลย เราจะอยู่กับเจ้าไปจนกว่าจะสิ้นยุค
สันติสุขที่พระเยซูมอบให้คือ พระวิญญาณมาสถิตอยู่ในร่างกายเราแล้ว ซึ่งจะทำให้ใจของเราไม่หวาดกลัววิตกกังวลใดๆ แม้จะกำลังเดินในหุบเขาเงามัจจุราชของปัญหาใหญ่โตอยู่ก็ตาม แต่พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วยกับเราตลอดเวลา อาเมนมั๊ยครับพี่น้อง
เอาหละ่ครับ ถึงตรงนี้มาร่วมสนุกกัน เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ คุณได้รับเรม่าห์อะไร ก็ให้เขียนคอมเม้นท์ลงในใต้คลิปนี้นะครรับ
คุณเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้แล้วหรือยังว่า แม้จะเดินในหุบเขาเงามัจจุราช ดาวิดก็ไม่กลัว ทำไมเขาจึงไม่กลัว เพราะอะไร? คุณเห็นความสำคัญของการได้สัมผัสถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าในตัวคุณแล้วหรือยัง? คุณรู้วิธีที่จะเข้าสนิทกับพระองค์ เพื่อจะสัมผัสถึงการทรงสถิตอย่างชัดเจนแล้วหรือไม่อย่างไร? คุณยังหวาดกลัวต่อปัญหาใหญ่โตที่จู่โจมเข้ามาอยู่หรือเปล่า ? คุณรู้วิธีแก้ไขความหวาดกลัวแล้วหรือยัง? คุณจะตอบสนองต่อเรม่าห์ที่ได้รับวันนี้อย่างไร?
พรุ่งนี้เราจะเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยกัน เพื่อจะเรียนรู้วิธีเดินไปกับพระเจ้าอย่างมีสันติสุข ในแบบคนพันธสัญญาใหม่ แล้วชีวิตคุณจะไม่ขาดกัศจรรย์เลย คุณจะกลายเป็นท่อพระพรใหญ่สู่ผู้คนในวงกว้างมากมายได้ อาเมนมั๊ยพีน้อง ขอพระเจ้าอวยพร