📖 ในซีรีย์นี้ เราจะอ่านพระคัมภีร์ *วันละบท* เป็นเวลา *150 วัน* 🗓️ เพื่อให้พระวจนะของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา *จากภายในสู่ภายนอก!*
🌿 เริ่มต้นจาก *สดุดีบทที่ 1* ที่บอกว่า...
✅ ผู้ที่ภาวนาพระคำพระเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน ✨
✅ จะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ 🌊
✅ มีชีวิตที่จำเริญขึ้นในทุกด้าน 🙌
💡 ชีวิตเป็นเรื่องของ *การเลือก!*
🎯 คุณจะเลือกเดินในทางพระเจ้าหรือไม่?
🎯 คุณกำลังหว่านอะไรลงไปในชีวิตของคุณตอนนี้?
🔥 มาร่วมเดินทางแห่งความเชื่อ *เพื่อรับพระพรจากพระเจ้า!*
⏯️ กดเล่นเลย แล้วเตรียมใจของคุณให้พร้อม 💛
#เฝ้าเดี่ยวสดุดี #พระวจนะเปลี่ยนชีวิต #สดุดี150วัน #เฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้า #ชีวิตที่จำเริญขึ้น 🚀
จัดทำคลิปโดย ..... คุณบิ๊ก
พันธกิจ ..... Big Miracle
Line ID...BigBig477
สวัสีดีครับพี่น้อง คลิปนี้เป็นตอนแรกของซีรีย์ เปิดประตูสู่ชีวิตอัศจรรย์ ด้วยการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ สดุดี
ในซีรีย์นี้จะมีทั้งหมด 150 บท เราจะอ่านพระคัมภีร์ไปด้วยกันประมาณวันละบท ซึ่งก็จะใช้เวลา 150 วันหรือเกือบครึ่งปีนะครับ ขอหนุนใจให้ติดตามต่อเนื่องไปจนจบซีรีย์ แล้วความเชื่อศรัทธาและความหวังในพระเจ้าของคุณจะเพิ่มพูนขึ้น ความใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้าจะลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น แล้วคุณจะได้เห็นชีวิตของคุณมีการอัศจรรย์เกิดขึ้นจากภายในสู่ภายนอก อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แบบเดียวกับกษัตริย์ดาวิด ผู้ส่วนใหญ่เป็นผู้เขียนพระคัมภีร์เล่มนี้ครับ
สำหรับตอนแรกนี้ คือ สดด. บทที่ 1ข้อ 1-41 ผมจะอ่านช้าๆนะครับ
1ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย 2แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระคำของพระเจ้า เขาภาวนาพระคำของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน 3เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น
และในข้อต่อไปก็จะพูดถึงผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม ของคนอธรรม ชีวิตเขาจะเป็นเหมือนแกลบ และจะพินาศไป
ผมอ่านแล้วก็ใคร่ครวญกลับไปกลับมา เพื่อทำความเข้าใจด้วยสมอง และก็ได้รับโลกอส โลกอสคือความเข้าใจกว้างๆที่ไม่ได้เจาะจงกับชีวิตส่วนตัวของผมนะครับ ยังไม่ใช่เรม่าห์พิเศษจากพระวิญญาณ
ผมได้รับความเข้าใจแบบโลกอสคือ
ในบทแรกนี้ ไม่ได้เขียนโดยกษัตริย์ดาวิดนะครับ ไม่รู้ใครเขียน แต่เหมือนเป็นคำนำของหนังสือสดุดีคือ เน้นให้เห็นผลลัพธ์ของคน 2 ประเภท คือคนชอบธรรมและคนอธรรม
ข้อ1-3 จะบรรยายลักษณะของคนชอบธรรม เขาจะเป็นสุขเพราะ
หนึ่ง เขาเลือกที่จะไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม คือไม่ฟังคำสอนคำแนะนำของคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า หรือปฎิเสธพระเจ้า
สองคือ เขาเลือกที่จะไม่ยืนอยู่ในทางของคนบาป หมายถึงไม่ทำตามอย่างคนที่ละเมิดคำสอนของพระเจ้า
สามคือ เขาเลือกไม่นั่งร่วมกับคนที่ชอบเยาะเย้ย หมายถึง เขาไม่คลุกคลีกับคนที่ดูหมิ่นพระเจ้าครับ
ในข้อ 2 กล่าวว่า
แต่เขาปิติยินดีในพระคำของพระเจ้า หมายถึงมีความพอใจกับถ้อยคำเชิงบวกจากพระคัมภีร์ และภาวนาถ้อยคำพระเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน หมายถึงเอาถ้อยคำพระเจ้ามาใคร่ครวญไปตลอดทั้งวัน หรือมาท่องในใจไปตลอด ลักษณะนี้คล้ายๆวัวกินหญ้าเข้าไปแล้วก็ค่อยๆเคี้ยวเอื้องไปตลอดทั้งวัน เพื่อค่อยๆดูดซับสารอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงชีวิตครับ
สรุป คือ คนที่เป็นสุข จะได้รับการอวยพร เพราะเขารักที่จะดำเนินชีวิตตามพระคำของพระเจ้า พวกเขาศึกษาและภาวนาใคร่ครวญพระวจนะเสมอ
ผลลัพธ์ก็ปรากฎในข้อ 3 คือ “เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล ใบของมันก็ไม่เหี่ยวแห้ง และทุกสิ่งที่เขากระทำก็จำเริญขึ้น”
ดังนั้น คนที่ให้เกียรติ ให้ความสำคัญถ้อยคำพระเจ้า จะแสดงออกด้วยการภาวนาถ้อยคำพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืน เขาก็จะมีชีวิตมั่นคง เหมือนต้นไม้ที่ได้รับน้ำหล่อเลี้ยงตลอดเวลา มีผลดกตามฤดูกาล และชีวิตก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกด้านครับ
แต่ในทางตรงกันข้าม ข้อ 4-5 กล่าวถึงลักษณะของคนอธรรม ชีวิตเเขาจะเป็นเหมือนแกลบ คือไม่มีเนื้อข้างใน น้ำหนักเบาโดนลมพัดหน่อยก็ปลิวไป เป็นชีวิตที่ไร้ค่าไร้แก่นสาร ซึ่งเปรียบเหมือนชีวิตที่ไม่มีความมั่นคง ไหลไปตามกระแสโลก และปลายทางชีวิตเขาก็จะพินาศล้มเหลวในทุกด้าน
สรุปคือ พระเจ้าทรงรู้จัก และดูแลคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์ และเดินในทางของพระองค์ สำหรับคริสเตียนในพันธสัญญาใหม่ ก็คือคนที่ตัดสินใจมอบถวายชีวิตให้พระเยซู เชื่อฟังพระคำพระเจ้า และพระสุรเสียงของพระวิญญาณ ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ไม่ตามเนื้อหนังตัวตนเก่าที่บาป และมีชีวิตที่ให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ดำเนินตามน้ำพระทัยพระเจ้าเสมอ
ถึงตรงนี้ ให้คุณหยุดชั่วขณะ และอธิษฐานถามพระวิญญาณว่า มีเรม่าห์พิเศษอะไรที่พระองค์ต้องการบอกคุณหรือไม่อย่างไร
สำหรับผม เรม่าห์พิเศษที่ผมได้รับคือ พระองค์ทำให้ผมปิ๊งแวบคำนึงผุดขึ้นมาเองในใจ คือคำว่า ตัดสินใจเลือก ผมจึงเอาคำว่า ตัดสินใจเลือก นี้มาเป็นหัวข้อสนทนากับพระองค์
และพระองค์ก็สอนผมว่า ชีวิตเป็นเรื่องของการเลือก มนุษย์ทุกคนต้องตัดสินเลือกเองว่า จะเดินในทางของพระเจ้าหรือทางของโลกที่ปฎิเสธพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ให้เป็นหุ่นยนต์ที่ต้องทำอะไรตามโปรแกรมเป๊ะๆ แต่พระเจ้าสร้างให้มนุษย์มีเสรีภาพที่จะตัดสินเลือก โดยพระคำพระเจ้าจะเป็นเหมือนคู่มือที่บอกว่า เลือกแบบไหนแล้วจะส่งผลต่อชีวิตอย่างไร แต่พระองค์ก็ไม่ได้บังคับ โดยให้มนุษย์ตัดสินใจเลือกเอาเอง
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง
เฉลยธรรมบัญญัติ 30:19 ที่ท่านโมเสสกล่าวกับชาวยิวทั้งหลายว่า
เราเรียกฟ้าและดินมาเป็นพยาน วันนี้เราจะให้ทางเลือกกับท่านระหว่างชีวิตกับความตาย คำอวยพรกับคำแช่งสาป ขอให้ท่านตัดสินใจเลือกให้ถูกต้อง จงเลือกชีวิตและคำอวยพร อย่าไปเลือกความตายและคำแช่งสาบ เพื่อท่านและลูกหลานของท่านจะได้มีชีวิตที่ดี
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง ชีวิตทุกวินาทีของเราจะต้องตัดสินใจบางอย่างเสมอ ถ้าคุณเลือกคำอวยพร คุณจะมีชีวิต คือมีชีวิตที่ดีเจริญรุ่งเรือง แต่ถ้าคุณเลือกคำแช่งสาป คุณจะตาย คือมีชีวิตที่ล้มเหลวพ่ายแพ้พินาศ
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคริสเตียนต้องอ่านพระคัมภีร์และเข้าเฝ้าพระเจ้า เพื่อรับฟังเรม่าห์ที่เป็นพระสุรเสียงของพระวิญญาณไปด้วยทุกวัน เพราะพระวจนะพระเจ้าจะเต็มไปด้วยถ้อยคำเชิงบวกที่เป็นคำอวยพร ถ้าคุณอ่านถ้อยคำพระเจ้าแบบผิวเผิน โดยไม่ได้อธิษฐานสนทนากับพระวิญญาณ คุณจะได้รับแค่โลกอสในสมอง ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณน้อย แต่ถ้าคุณอ่านโดยสนทนากับพระวิญญาณไปทุกๆวัน คุณจะได้รับเรม่าห์พิเศษด้วย ซึ่งจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงจิตใจคุณเป็นอย่างมาก
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง
กาลาเทีย 6:7 ที่ท่านเปาโลกล่าวว่า
เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง ถ้าคุณเลือกที่จะหว่านเมล็ดมะม่วง คุณก็จะได้ต้นและลูกมะม่วง ไม่มีทางได้ทุเรียน คุณเลือกอะไร ผลลัพธ์ก็จะเป็นไปตามที่คุณเลือก คุณต้องรับผิดชอบสิ่งที่คุณเลือกเอง จะไปโทษคนอื่นไม่ได้เลยครับ
คุณรู้มั๊ยครับว่า การอ่านพระคัมภีร์ ไม่ใช่การอ่านหนังสือธรรมะ หรือหนังสือศีลธรรมที่เต็มไปด้วยกฎศาสนานะครับ ตอนผมเป็นผู้เชื่อใหม่ ผมคิดว่าพระคัมภีร์ก็เหมือนหนังสือธรรมะเล่มนึงของศาสนาคริสต์ ผมจึงเบือหน่ายและขี้เกียจอ่าน แต่มันไม่ใช่เลย ผมเข้าใจผิดอย่างมาก จริงอยู่ว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลก็จะมีบัญญัติของพระเจ้าผสมอยู่ เช่น ในพันธสัญญาเดิม ก็จะมีบัญญํติ 10 ประการของโมเสส และในพันะสัญญาใหม่ พระเยซูก็สรุปบัญญัติ 10 ประการสั้นๆเป็นบัญญัติรักคือ รักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
แต่เราไม่ได้อ่านพระคัมภีร์เพื่อจะได้รับบัญญัติอย่างเดียว แต่พระคัมภีร์ยังเต็มไปด้วยถ้อยคำเชิงบวกซึ่งก็คือคำอวยพรจากพระเจ้า ที่ส่งผลดีเชิงบวกต่อจิตวิญญาณของเรา ถ้าคุณหว่านถ้อยคำเชิงบวกจากพระคัมภีร์ ซึ่งก็หมายถึงคำอวยพรจากพระเจ้า เข้าไปในสมองคุณบ่อยๆ ความเชื่อในคำอวยพรเหล่านั้น จะดำดิ่งฝังลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึกของคุณโดยไม่รู้ตัว เหมือนหว่านเมล็ดแห่งพระพร ผลคืออะไร ผลก็คือ ชีวิตคุณจะเปลี่ยน คือคุณจะค่อยๆกลายเป็นคนคิดบวกพูดบวกและมีพฤติกรรมที่บวก
คุณรู้มั๊ยครับว่า จิตใต้สำนึกเหมือนระบบปฎิบัติการ windows มันทำงานอยู่หลังฉากของคอมพิวเตอร์ คุณไม่รู้เลยว่า เจ้าโปรแกรม windows มันแอบควบคุมการทำงานของ cpu ฮาร์ดดิสต์ และควบคุมการแสดงผลหน้าจอ ส่วนโปรแกรมอื่นๆที่คุณใช้งาน เช่น word , excel , powerpoint หรือ เล่นเน็ตด้วยโครม มันเป็นโปรแกรมที่ทำงานหน้าฉาก มันไม่ได้ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์โดยตรงเลย เวลาคุณสั่งเซฟข้อมูล เจ้า word หรือ excel จะไปสั่งให้โปรแกรมหลังฉากคือ windows ทำงาน โดยเจ้าโปรแกรม windows จะเป็นคนเอาข้อมูลเข้าไปเก็บไว้ในฮารด์ดิสต์ เห็นมั๊ยครับพี่น้อง โปรแกรมหน้าฉากก็เปรียบเหมือนจิตสำนึก ซึ่งควบคุมคอมพิวเตอร์ได้เพียง 5% ส่วนโปรแกรม windows ก็เปรียบเหมือนจิตใต้สำนึก มันจะควบคุมได้ถึง 95% ดังนั้น คุณสั่งอะไรเข้าไปในจิตใต้สำนึกโดยไม่รู้ตัว เจ้าจิตใต้สำนึกก็จะไปทำตามนั้นโดยคุณไม่รู้ตัวเลย ดังนั้น คุณเลือกหว่านความเชื่ออะไรเข้าไปในจิตใต้สำนึก ชีวิตคุณก็จะเป็นไปตามความเชื่อที่คุณหว่านโดยอัตโนมัตินั่นแหละครับ เพราะชีวิตคุณจะถูกควบคุมบงการโดยจิตใต้สำนึกที่มีพลังถึง 95% นั่นเอง
พี่น้องที่รัก ในขณะนี้ ที่คุณมีชีวิตเป็นแบบนี้ คุณรู้มั๊ยครับว่า มันก็ล้วนเกิดจากการเลือกในอดีตตั้งแต่เล็กจนโตถึงตอนนี้ครับ คุณเลือกที่จะเชื่อว่าคุณไม่ฉลาด เวลานี้คุณก็กลายเป้นคนไม่ฉลาด คุณเลือกที่จะเชื่อว่าคุณไม่มีก้าวหน้า ดังนั้น เวลานี้คุณจึงย่ำอยู่กับที่ คุรเลือกที่จะเชื่อว่า ชีวิตคุณเป็นไปตามเวรกรรมที่คุณทำ ชีวิตคุณมันก็เป็นไปตามกรรม คุณเลือกจะเชื่อว่า ชีวิตคุณอยู่ในร่มพระคุณพระเจ้า ชีวิตคุณก็ได้รับพระคุณจากพระเจ้าเสมอ มันเป็นไปตามสิ่งที่คุณเลือกที่จะเชื่อ และคุณก็มักไม่รู้ตัวว่า ลึกๆคุณเชื่ออะไร และเลือกอะไร แต่มันจะมีสัญญาณบอกได้ว่า คุณเลือกจะเชื่ออะไร ก็ดูได้จากชีวิตของคุณตอนนี้มันเป็นแบบไหนไงหละครับ
ถ้าคุณเลือกหว่านความเชื่อแบบไหนเข้าไปในจิตใต้สำนึก คุณก็จะมีชีวิตเป็นไปตามที่คุณเชื่อ เพราะชีวิตถึง 95% ของคุณถูกบงการโดยจิตใต้สำนึกของคุณ ดังที่พระเยซูกล่าวไว้ใน
มัทธิว 9:29 ว่า
"แล้วพระองค์ทรงสัมผัสดวงตาของเขา ตรัสว่า ‘ให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด’"
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง ตอนนี้มีคนตาบอดมาให้พระเยซูรักษา พระองค์ไม่ได้พูดว่า ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าเถิด แต่พูดว่า ให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด เขาเชื่ออะไร ? เขาเชื่อว่าพระเยซูมีฤทธิ์อำนาจรักษาเขาได้ และเขาก็ได้รับการรักษา ไม่ใช่ตามน้ำพระทัยว่าหายก็ได้ไม่หายก็ได้ แต่เป็นไปตามความเชื่อของเขา และไม่ใช่ความเชื่อผิวๆแค่ในสมอง แต่เป็นความเชื่อในใจ ที่ฝังลึกเข้าไปถึงจิตใต้สำนึก จึงจะได้เห็นการอัศจรรย์ครับ
การหว่านถ้อยคำพระเจ้า ก็คือการฝังความเชื่อในพระวจนะเข้าไปในจิตใต้สำนึกของคุณ ยิ่งคุณหว่านมาก คุณจะยิ่งได้เก็บเกี่ยวผลมาก ดังนั้น ในหนังสือสดุดีจึงเริ่มต้นด้วยการแนะนำให้เราภาวนาถ้อยคำพระเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน คือเป็นการหว่านคำอวยพรของพระเจ้า ไม่ใช่หว่านคำแช่งสาป เข้าไปในจิตใต้สำนึกของคุณบ่อยๆทั้งกลางวันกลางคืนนั่นเอง แล้วผลลัพธ์คือ ชีวิตคุณจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ จะเกิดดอกออกผลตามฤดูกาลเสมอ ไม่เหี่ยวแห้งอับเฉา มีแต่จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นครับ
สมัยผมเป็นผู้เชื่อใหม่และเคยเป็นหนี้ก้อนโต ผมโดนเจ้าหนี้โทรมาทวงยิกๆทุกวัน ทำให้ผมเครียดมาก เพราะอะไรรู้มั๊ยครับที่เครียด ก็เพราะผมมักจะเผลอพูดกับตัวเองว่า ฉันแย่แน่ หาเงินมาจ่ายไม่ทันแน่ ลูกค้าก็น้อย เศรษฐกิจก็ไม่ดี ฉันคงโดนฟ้องยึดทรัพย์แน่ๆ คือผมจะหว่านความคิดลบๆนี้เข้าใส่ในใจผมตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน ผลก็คือ เจ้าจิตใต้สำนึกมันก็รับเอาไปเต็มๆสิครับ แล้วมันก็ซื่อสัตย์ทำตามความคิดลบๆนั้น เพราะมันไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วนะครับ มันก็ไปทำให้คุณมีความคิดลบ คำพูดลบ และพฤติกรรมลบ จนกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการตอบคำอธิษฐานของพระเจ้าไปหมด แม้ผมจะอธิษฐานหนักขนาดไหน แต่ความเชื่อด้านลบมันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก อธิษฐานไปได้ไม่กี่นาที เจ้่าจิตใต้สำนึก็ทำให้ความคิดลบจินตนาการลบๆผุดขึ้นมาอีก และมันก็ไปลบล้างความเชื่อในพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว และพระเจ้าทำการอัศจรรย์ผ่านทางความเชื่อของเรา เมื่อความเชื่อเป็นหมัน เพราะถูกความคิดลบๆที่ส่งมาจากจิตใต้สำนึกขัดขวาง มันก็เลยทำให้คุณเครียด หวาดกลัววิตกกังวลไงหล่ะครับ มันเหมือนคุณเอาน้ำกรดไปใส่น้ำด่าง มันก็กลายเป็นกลาง คำอธิษฐานจึงไม่เกิดผลเพราะขาดความเชื่อนั่นเอง วิธีแก้จึงต้องไปแก้ที่ความเชื่อในจิตใต้สำนึกครับ คุณต้องหว่านถ้อยคำเชิงบวกของพระเจ้าเข้าไปในจิตใต้สำนึกทั้งกลางวันกลางคืน แล้วคำอธิษฐานจึงจะเต็มเปี่ยมด้วยศรัทธาที่มั่งคงในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า แล้วการอัศจรรย์จึงจะเกิดขึ้นได้ครับ
ต่อมาหลายปี เมื่อผมได้เข้าใจพลังของจิตใต้สำนึก ที่ควบคุมชีวิตผมมากถึง 95% ผมจึงขยันหว่านถ้อยคำเชิงบวกของพระเจ้าเข้าไปในจิตใต้สำนึกทั้งกลางวันกลางคืนครับ ซึ่งก็คือการภาวนาถ้อยคำพระเจ้านั่นเอง ไม่ใช่ภาวนาถ้อยคำที่เป็นบัญญัติของศาสนานะครับ แต่ภาวนาถ้อยคำบวกๆจากพระคัมภีร์ ตัวอย่างเช่น
เมื่อผมโดนทวงหนี้ ผมจะรีบหยุดกิจกรรมทุกอย่าง ไม่เพียงแค่อธิษฐานขอพระเจ้าช่วยปลดหนี้ แต่ผมจะภาวนาถ้อยคำพระเจ้าด้วยทั้งกลางวันกลางคืน ถ้อยคำพระเจ้าที่ผมเลือกเอามาภาวนาและหว่านเข้าไปในจิตใต้สำนึกของผมก็ได้แก่
อิสยาห์ 41:10
> “อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าท้อใจ เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เราจะเสริมกำลังให้เจ้า เราจะช่วยเจ้า และเราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา”
เมื่อผมภาวนาพระคัมภีร์ข้อนี้ทั้งกลางวันกลางคืน ผลที่เกิดขึ้นคือ เจ้าความเชื่อมันจะฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึกครับ แล้วเจ้าจิตใต้สำนึกก็ทำให้ผมหายจากความหวาดกลัววิตกกังวล และมีสันตืสุขในพระเจ้าได้ เพราะเจ้าจิตใต้สำนึกจะมั่นใจว่าพระเจ้าอยู่ด้วยและเสริมกำลังผมอยู่ กำลังช่วยผมมีชัยชนะต่อปัญหาหนี้สิน ความเชื่อแบบนี้จะทำให้เกิดการอัศจรรย์ขึ้นครับ
พอวางโทรศัพท์ของเจ้าหนี้ที่โทรมาทวงยิกๆลงแล้ว ผมจะภาวนาพระคัมภีรือีกหลายๆข้อ ตัวอย่างเช่น
สดุดี 50:15
“จงร้องทูลเราในยามทุกข์ยาก แล้วเราจะช่วยเจ้าให้รอด และเจ้าจะถวายเกียรติแด่เรา”
เห็นมั๊ยครัึบพีน้อง เมื่อผมภาวนาข้อนี้ทั้งกลางวันกลางคืน ผลลัพธ์ก็คือ ความเชื่อมันฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก แล้วผมก็มั่นใจว่า ผมรอดแน่ๆ เพราะผมได้อธิษฐานร้องทูลต่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะช่วยผมให้รอด แล้วผมก็จะได้เป็นพยานถวายเกียรติพระองค์ครับ
ไม่เพียงเท่านี้ ผมยังภาวนาพระคำพระเจ้าข้อนี้อีก คือ
ฟีลิปปี 4:19 ที่กล่าวว่า
และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดที่พวกท่านขาดอยู่นั้น จากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในพระเยซูคริสต์
ข้อนี้ก็ทำให้ผมหายกลัวเจ้าหนี้ได้เลยครับ เพราะเมื่อภาวนาพระคำข้อนี้ทั้งกลางวันกลางคืนแล้ว เจ้าความเชื่อในพระวจนะข้อนี้ ก็ฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก แล้วมันทำให้ผมมีแต่ความคิดบวกๆผุดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ คือความคิดลบๆที่เฝ้าจดจ่อกับความขัดสนขาดแคลนมันค่อยๆหายไป และความคิดบวกว่าผมจะได้รับสิ่งสารพัดที่ขาดอยู่จากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระเจ้าในฐานะที่ผมเชื่อวางในในพระเยซูครับ แล้วความเชื่อที่ฝังลึกในจิตใต้สำนึกนี้ก็ทำให้ผมมีแต่จินตนาการแง่บวก พระวิญญาณก็ทำให้ผมปิ๊งแวบมองเห็นโอกาสที่จะมีรายได้ใหม่ๆเข้ามา ซึ่งพระเจ้าส่งเข้ามาให้อย่างอัศจรรย์
และผมก็ภาวนาพระคำข้อนี้อีกด้วยคือ
มาระโก 11:24-25
เหตุฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง เมื่อผมภาวนาพระคำข้อนี้ทั้งกลางวันกลางคืน มันทำให้ความเชื่อฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึกว่า สิ่งที่ผมขอให้พระเจ้าช่วยปลดหนี้ ก็จะได้รับตามที่เชื่อแน่ๆ เวลาผมเริ่มหวั่นไหวไม่มั่นใจว่าพระเจ้าจะตอบหรือเปล่า หรือจะตอบทันเวลาหรือเปล่า ผมก็จะรีบภาวนาข้อนี้เลย เพื่อไม่ให้ความลังเลสงสัยฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึกครับ เพราะอะไรครับ ก็เพราะความเชื่อเกิดจากการได้ยิน และเป็นการได้ยินพระวจนะของพระเจ้า อยู่ใน โรม 10:17
แล้วผมก็ภาวนาอีกข้อคือ
ยากอบ 1:5-8
ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณาและมิได้ทรงตำหนิ แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง เวลาผมผมได้รับโทรศัพท์ทวงเงินจากเจ้าหนี้ ผมก็รู้สึกหวาดกลัวเคร่งเครียด และเฝ้าบอกตัวเองว่า ฉันจะไปหาเงินได้ที่ไหนมาจ่ายทันเวลา ? นี่ก็อีกไม่กี่วันแล้ว ถ้ายังหาเงินไม่ได้ ฉันจะโดนฟ้องยึดทรัพย์แน่ๆ นี่คือความคิดลบๆที่ผุดขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกโดยไม่รู้ตัวนะครับ และเจ้าความคิดลบๆนี้ก็ทำให้เครียดหวาดกลัววิตกกังวล มันยิ่งไปขัดขวางไอเดียความคืดสร้างสรรค์ใหม่ๆเลยครับ ยิ่งคิดอะไรไม่ออกไปใหญ่เลย เพราะเป็นผลจากการทำงานของเจ้าจิตใต้สำนึกนี่แหละครับ ดังนั้น เมื่อผมรู้เคล็ดลับแล้วว่า ผมจะต้องทำให้ความเชื่อบวกๆจากพระคัมภีร์ ฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก มันก็จะไม่ส่งความคิดลบๆที่ทำให้หวาดกลัวเคร่งเครียดและมาขัดขวางไอเดียดีๆจากพระเจ้าครับ ผมจะภาวนาข้อนี้บ่อยๆว่า อธิษฐานขอสติปัญญาแล้วก็จะได้แน่ๆ พระเจ้าจะให้สติปัญญาไอเดียดีๆปิ๊งแวบขึ้นมา เพื่อมีวิธีหาเงินมาจ่ายหนี้ได้หมด แล้วการอัศจรรย์ก็เกิด พระเจ้าไม่เพียงสร้างโอกาสมีรายได้ใหม่ๆ แต่ยังให้มีไอเดียความคิดสร้างสรรค์ลงมือทำอะไรบางอย่างแล้วก็มีเงินไปจ่ายหนี้ได้ ดังนั้น การภาวนาถ้อยคำพระเจ้าทั้งกลางวันกลางคืน จึงเป็นประโยชน์มากในการสร้างความเชื่อให้ดำดิ่งฝังลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึกของคุณ เมื่อจิตใต้สำนึกของคุณมีความเชื่อศรัทธาเข้มแข็งมั่นคงในพระเจ้าแล้ว มันจะไปควบคุมความคิด ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก ควบคุมคำพูดและพฤติกรรมของคุณให้เป็นไปตามควาเชื่อบวกๆนั้น แล้วพระเจ้าก็ทำการอัศจรรย์ได้ผ่านทางความเชื่อที่หยั่งรากลึกของคุณนี่เองแหละครับ
แต่เพื่อให้สมดุล คุณต้องเข้าใจก่อนว่า การอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยปลดหนี้ มันเป็นการขอเพื่อให้พระองค์ช่วยแก้ปัญหาให้แก่คุณ มันไม่ใช่กิเลสตัณหาของเนื้อหนังครับ คุณมีปัญหาการเงิน คุณสารภาพบาปแล้วที่ได้ผิดพลาดไปในอดีต พระเจ้าก็อภัยให้คุณแล้ว และพระองค์ก็เต็มใจที่จะช่วยคุณด้วยความรักความเมตตา เหมือนถ้าคุณเจ็บป่วย คุณอธิษฐานขอพระเจ้าช่วย มันไม่ใช่ขอด้วยกิเลสตัณหา เพราะความเจ็บป่วยเป็นปัญหาให้คุณใช้ชีวิตลำบาก พระองค์ก็เต็มใจช่วยคุณความความรักความเมตตา ดังนั้น พระองค์จึงแก้ปัญหาให้คุณแน่ๆ แต่จะด้วยวิธีใดหรือเวลาใด ตรงนี้ไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคน
ดังนั้น คุณจะเอาข้อพระคัมภีร์เชิงบวกมาภาวนาทั้งกลางวันกลางคืน ด้วยกิเลสตัณหาที่เห็นแก่ตัว แม้จะมีความเชื่อฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก พระเจ้าก็ไม่ตอบตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนังคุณครับ มันต้องเป็นการขอตามพระประสงค์ของพระองค์ด้วย ดังที่ดท่านยอหร์กล่าวไว้ใน
1 ยอห์น 5:14-17
และนี่คือความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงโปรดฟังเรา และถ้าเรารู้ว่า พระองค์ทรงโปรดฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ เราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่เราทูลขอนั้นจากพระองค์
ความหมายก็คือ คุณจะขอในสิ่งที่ตรงข้ามกับพระประสงค์ไม่ได้ เช่นขอในสิ่งที่เป็นบาป หรือไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน ต่อให้ภาวนาพระคำเชิงบวกว่า เมื่อท่านอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ แล้วท่านจะได้รับ ต่อให้ภาวนาข้อนี้ทั้งกลางวันกลางคืนจนฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก แต่ถ้าสิ่งทีขอเป็นบาปหรือเป็นกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง พระเจ้าก็ไม่ตอบครับ แต่การขอพระเจ้าปลดหนี้ หรือขอพระเจ้าช่วยรักษาความเจ็บป่วย หรือขอพระเจ้าช่วยให้ครอบครัวไม่ทะเลาะกัน หรือขอให้ธุรกิจเจริญรุ่งเรืองเป็นพรให้แก่ผู้คนมากมาย การขอแบบนี้ไม่ใช่กิเลศตัณหา แต่เป็นพระประสงค์ดีเลิศของพระเจ้าอยู่แล้ว เมื่อคุณมีความเชือ่มั่นคงในจิตใต้สำนึก พระองค์ก็จะตอบแน่นอนครับ ด้วยวิธีและในเวลาที่ดีที่สุดของพระองค์
เอาหล่ะครับ มาร่วมสนุกัน เฝ้าเดี่ยววันนี้ คุณได้รับเรม่าห์อะไร ก็ให้เขียนคอมเม้นท์ลงในใต้คลิปนี้นะครรับ
คุณได้เข้าใจความหมายของข้อความที่ว่า
เขาภาวนาพระคำของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน 3เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น
คุณเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้แล้วหรือยัง? คุณเห็นความสำคัญของการภานาถ้อยคำพระเจ้าทั้งกลางวันกลางคืนแล้วหรีอยัง? ลองทบทวนตัวเอง ขณะนี้คุฒมักภาวนาถ้อยคำลบๆใส่ตัวเองหรือภาวนาถ้อยคำเชิงบวกให้กับตัวเอง ? คุณได้รับเรม่าห์พิเศษอะไรบ้างจากพระวิญญาณ และคุณจะตอบสนองอย่างไร เพื่อให้ความเชื่อฝังลึกเข้าไปถึงจิตใต้สำนึก แล้วจะได้มีชีวิตอัศจรรย์ในทุกด้าน?
เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ ให้คุณหยุดและอธิษฐานขอพระวิญญาเปิดเผยสำแดงให้คุณได้รับรู้ แล้วพิมพ์คำตอบในคอมเม้นท์ใต้
พรุ่งนี้เราจะเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยกัน เพื่อเรียนรู้ที่จะภาวนาถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำแห่งการสรรเสริญ ถ้อยคำแห่งการขอบพระคุณ ถ้อยคำจากหนังสือสดุดี ที่จะทำให้ชีวิตคุณก้าวสู่การอัศจรรย์ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และจะได้เป็นท่อพระพรไปสู่คนอื่นในวงกว้างมากมายได้ อาเมนมั๊ยพีน้อง ขอพระเจ้าอวยพร
#เฝ้าเดี่ยวสดุดี #พระวจนะเปลี่ยนชีวิต #สดุดี150วัน #เฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้า #ชีวิตที่จำเริญขึ้น 🚀