📖✨ ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์ บทที่ 12 – สดุดี 12 ✨📖**
🔥 สวัสดีครับพี่น้อง! วันนี้เรามาเข้าสู่บทที่ 12 ของซีรีส์ *"ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์"* ผ่านการเฝ้าเดี่ยวพระคัมภีร์ สดุดี 12 กันครับ! 🙏
💬 สดุดีบทนี้ ดาวิดสะท้อนถึงสังคมที่เต็มไปด้วยคำพูดหลอกลวงและความไม่ซื่อสัตย์ 😞 แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังคงวางใจว่าพระเจ้าทรงเห็นและจะทรงช่วยเหลือคนชอบธรรม ✨
📌 **หัวข้อสำคัญที่พระวิญญาณสำแดง**
🔹 **คำพูดประจบประแจง** 😏 – มาจากความโลภและการแสวงหาผลประโยชน์
🔹 **คำพูดโอ้อวด** 🗣️ – เพราะมนุษย์หิวกระหายการยอมรับจากคนอื่น
🔹 **พระวจนะของพระเจ้า** 📜 – มั่นคง บริสุทธิ์ และเป็นความจริงเสมอ
🙌 วันนี้ขอให้เราหยุดสักครู่ และอธิษฐานถามพระวิญญาณว่า...
👉 เราเป็นคนที่พูดตรงไปตรงมาหรือไม่?
👉 เราเคยพูดจาประจบหรือโอ้อวดเพื่อให้ได้บางสิ่งหรือเปล่า?
👉 เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไรให้ตรงกับน้ำพระทัยของพระเจ้า?
💡 *"จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดเกินไปจากนี้ล้วนมาจากมาร"* (มัทธิว 5:37)
📢 มาแบ่งปันเรม่าห์ที่คุณได้รับในช่องคอมเมนต์ด้านล่างกันนะครับ! 💬 แล้วพรุ่งนี้เรามาเฝ้าเดี่ยวด้วยกันต่อ พระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณให้เต็มไปด้วยการอัศจรรย์! 🚀🔥
**🙏 ขอพระเจ้าอวยพรครับ! อาเมน!** 🙏✨
จัดทำคลิปโดย.... คุณบิ๊ก
พันธกิจ....Big Miracle
Line ID... BigBig477
สวัสีดีครับพี่น้อง คลิปนี้เป็นบทที่ 12 ของซีรีย์ "ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์" ด้วยการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ สดุดี
สำหรับบทที่ 12 นี้ ไม่มีการระบุชัดเจนว่า ดาวิดเขียนขึ้นในช่วงเหตุการณ์ใดของชีวิตเขา แต่เป็นไปได้ว่า อาจจะอยู่ในช่วงที่ดาวิดต้องเผชิญกับความไม่ซื่อสัตย์และการหักหลังภายในราชสำนัก หรืออาจเกิดขึ้นในระหว่างที่ซาอูลใช้อำนาจในทางที่ผิด และคนรอบข้างของดาวิดหันไปสนับสนุนซาอูลเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง หรืออาจเป็นช่วงที่มีเจ้าหน้าที่หรือขุนนางใช้อำนาจกดขี่ประชาชน และดาวิดรู้สึกเจ็บปวดกับความอยุติธรรมในแผ่นดินอิสราเอล ดาวิดสะท้อนความรู้สึกท้อแท้ต่อสังคมที่เต็มไปด้วยการหลอกลวงและความไม่ซื่อสัตย์ แต่ในขณะเดียวกัน ดาวิดยังแสดงความวางใจว่าพระเจ้าทรงเห็นและจะทรงช่วยเหลือคนชอบธรรม
(สดุดี 12:1) “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยด้วยเถิด เพราะคนชอบธรรมสูญสิ้นไปแล้ว คนสัตย์ซื่อก็หมดไปจากบุตรทั้งหลายของมนุษย์”
ดาวิดเริ่มต้นบทสดุดีด้วยการร้องทูลพระเจ้าว่า คนชอบธรรมเริ่มหมดไป คนสัตย์ซื่อหายากขึ้น ผู้คนรอบตัวเต็มไปด้วยคำพูดหลอกลวงและสองใจ
(สดุดี 12:3) “ขอพระเจ้าทรงตัดริมฝีปากที่ประจบป้อยอออกเสีย และตัดลิ้นที่พูดจาโอ้อวด”
ดาวิดอธิษฐานขอให้พระเจ้าพิพากษาคนที่พูดจาส่อเสียด หยิ่งผยอง และคิดว่าตนสามารถใช้คำพูดควบคุมทุกสิ่ง ตัดริมฝีปากและตัดลิ้นคือการลงโทษคนที่พูดจาโกหกหลองลวงนะครับ เพราะคนชั่วมักคิดว่าเขาสามารถใช้คำพูดเพื่อควบคุมคนอื่น แต่ดาวิดวางใจว่าพระเจ้าจะเป็นผู้พิพากษาอย่างยุติธรรม
(สดุดี 12:5) “เพราะการบีบบังคับคนยากจน เพราะเสียงคร่ำครวญของคนขัดสน เราจะลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ พระเจ้าตรัสว่า เราจะช่วยผู้ที่เขาพยายามจะผลักไสออกให้ปลอดภัย”
ตรงนี้ก็แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าได้ยินเสียงของผู้ที่ทุกข์ใจจากการถูกบีบบังคับ และพระองค์จะทรงลงมือช่วยเหลือ
(สดุดี 12:6-7) “พระวจนะของพระเจ้าเป็นคำพูดที่บริสุทธิ์ เป็นเงินที่หลอมในเตาหลอมบนดิน กลั่นเจ็ดครั้ง”
คำพูดของมนุษย์อาจโกหกหลอกลวงประจบประแจง และเสื่อมทราม แต่พระวจนะของพระเจ้าบริสุทธิ์ เป็นความจริง และไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พระสัญญาของพระเจ้าจะไม่มีวันล้มเหลว ไม่เหมือนคำพูดของมนุษย์
(สดุดี 12:8) ความชั่วจะยังมีอยู่ แต่พระเจ้าทรงปกป้องคนชอบธรรม
ถึงแม้ว่าคนชั่วและความหลอกลวงจะยังคงมีอยู่ในโลกนี้ แต่คนของพระเจ้าสามารถวางใจได้ว่าพระองค์จะทรงปกป้องพวกเขา โลกอสที่ผมได้รับคือ สังคมในสมัยของดาวิดเต็มไปด้วยคนที่พูดจาสองแง่สองง่าม และเราก็เห็นสิ่งนี้ในโลกปัจจุบันเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง ธุรกิจ หรือความสัมพันธ์ส่วนตัว พระเจ้าทรงได้ยินเสียงของคนที่ถูกกดขี่ แม้ว่าคนชั่วจะคิดว่าตนสามารถใช้คำพูดเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองหรือเพื่อเอาเปรียบผู้อื่นได้ พระเจ้าทรงเห็นและทรงฟังเสียงของผู้ที่ถูกกดขี่ และพระองค์จะทรงช่วยเหลือ พระวจนะของพระเจ้ามั่นคงและเป็นที่พึ่งพาได้ คำพูดของมนุษย์อาจไม่น่าเชื่อถือ แต่พระสัญญาของพระเจ้านั้นแน่นอนและไม่เปลี่ยนแปลง
ถึงตรงนี้ ให้คุณหยุดชั่วขณะ และอธิษฐานถามพระวิญญาณว่า มีเรม่าห์พิเศษอะไรที่พระองค์ต้องการจะบอกคุณหรือไม่อย่างไร
สำหรับผม เรม่าห์ที่ได้รับคือ มีคำว่า พูดจาประจบประแจง และคำว่า พูดจาโอ้อวด ปีิ๋งแวบขึ้นในความคิด ซึ่งก็คือเสียงของพระวิญญาณที่พูดเข้ามาในใจผม ผมจึงนำคำนี้มาเป็นหัวข้อสนทนากับพระองค์ โดยถามพระองค์ว่า ทำไมจึงให้ผมปิ๊งแวบกับคำนี้ คือคำว่า ประจบสอพลอ นิ่งรอฟังพระสุรเสียงอยู่พักนึง
แล้วพระวิญญารก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง
มัทธิว 5:37-40 "จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินไปจากนี้ ก็ล้วนมาจากมาร"
แล้วพระองค์ก็สอนผมว่า พระเยซูเห็นว่าชาวยิวมากมายชอบพูดอะไรที่ปากไม่ตรงกับใจ แล้วก็อ้างคำสาบานต่อพระเจ้าเพื่อให้คนอื่นเชื่อถือ ซึ่งการพูดแบบไม่จริงใจนี้ ล้วนมาจากมาร เพราะมารเป็นพ่อของการพูดมุสา คนในยุคนี้ก็ไม่ต่างกับคนในยุคนั้น
ผมจึงถามพระวิญญาณว่า ทำไมคนเราจึงชอบพูดประจบประแจง เขาพูดไม่จริงใจนี้เพราะอะไร? พระวิญญาณตอบโดยทำให้ผมระลึกได้ถึง
1 เธสะโลนิกา 2:5 5ท่านก็รู้อยู่และพระเจ้าทรงเป็นพยานฝ่ายเราว่าเราไม่ได้ใช้คำยกยอใดๆ หรือคำพูดเคลือบคลุมเพื่อความโลภ 6หรือแสวงหาศักดิ์ศรีจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นจากท่านหรือจากคนอื่น
แล้วพระองค์ก็สอนผมว่า ท่านเปาโลเป็นแบบอย่างของคนที่พูดตรงไปตรงมาอย่างจริงใจ ไม่ได้พูดประสบสอพลอยกย่องใครๆเกินความเป็นจริง และท่านก็กล่าวต่อไปว่า คนที่พูดจาประจบยกย่องคนอื่นอย่างไม่เป็นความจริง มีเจตนาไม่บริสุทธิ์แอบแฝงคือ ข้างในใจมีความโลภ อยากได้อะไรบางอย่างจากคนอื่น จึงแกล้งพูดให้เขาพอใจ แล้วเขาจะได้ให้รางวัลตน เปาโลไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาไม่ได้ประกาศข่าวประเสริฐด้วยการพูดเกินความเป็นจริง ไม่ได้พูดยกยอปอปั้นใครๆเพื่อให้เขาถวายทรัพย์ให้กับเปาโล เขาแบ่งปันข่าวประเสริฐด้วยความรักแท้ของพระเจ้าและด้วยน้ำใสใจจริง ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝง และเขาไม่ได้มีเจตนาแสวงหาศักดิ์ศรีจากมนุษย์ หมายถึงไม่ได้ต้องการให้ใครมาชื่นชมยกย่องเขา นี่คือลักษณะของคนที่พูดจาตรงไปตรงมา จริงก็ว่าจริง ใช่ก็ว่าใช่ ไม่พูดอะไรเกินไปจากความจริง เพราะการพูดอะไรเกินไปจากความจริง ก็ล้วนเป็นความคิดและคำพูดที่มาจากมาร
ส่วนคำว่า พูดจาโอ้อวด พระวิญญาณก็ทำให้ผมปิ๊งแวบระลึกได้ถึง ลูกา 18:9-14
เป็นตอนที่พระเยซูกล่าวคำอุปมาเรื่องฟาริสีและคนเก็บภาษี มาอธิษฐานต่อพระเจ้า ฟาริสีพูดโอ้อวดถึงความดีที่เขาทำว่า เขาเชื่อฟังบัญญัติทุกข้อ และถวายสิบลดไม่เคยขาด พระเจ้าควรตอบคำอธิ ษฐานของเขา แต่คนเก็บภาษีไม่ได้พูดโอ้อวด แต่พูดถ่อมใจยอมรับว่าเขาเป็นคนบาป ไม่สมควรได้รับอะไรจากพระเจ้า เขาอธิษฐานด้วยความจริงใจ และพระเจ้าทรงชอบคนที่ถ่อมใจและพูดความจริงตรงไปตรงมาอย่างจริงใจ มากกว่าคนที่ชอบพูดโอ้อวดตนเอง
แล้วผมก็ถามพระวิญญาณว่า อะไรทำให้มนุษย์ชอบพูดโอ้อวดยกย่องตัวเอง
พระองค์ตอบโดยทำให้ผมระลึกได้ถึง 2 โครินธ์ 10:17-18 “ถ้าใครจะอวด ก็จงอวดองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด” เพราะว่าคนที่ยกย่องตัวเองจะไม่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า
แล้วพระองค์ก็สอนผมว่า คนที่ชอบพูดโอ้อวดตัวเอง สาเหตุเป็นเพราะเขาหิวกระหายการยอมรับจากมนุษย์คนอื่น ซึ่งก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า เพราะพูดอะไรเกินไปจากความเป็นจริง ซึ่งก็ล้วนมาจากมาร เพราะมารเป็นพ่อของการมุสา การพูดยกย่องโอ้อวดตัวเอง ก็มาจากมารเช่นกัน
ถึงตรงนี้พระวิญญาณก็ทำให้ผมนึกได้ถึงคำสอนของนักการตลาดที่เคยดูในยูทูปมากมาย ส่วนใหญ่นักการตลาดจะสอนให้พูดอะไรโอ้อวดเกินจริงนะครับ ใส่สีตีไข่สินค้าหรือบริการอย่างเกินความเป็นจริง เพื่อหวังจะขายได้ไงหล่ะครับ แล้วก็พยายามหาหลักฐานบางอย่างมายืนยันคำพูดเกินจริงของตน เช่น ไปให้หน่วยงานต่างๆออกใบรับรองให้กับสินค้าหรือบริการของเขามากมาย เพื่อผู้คนจะได้เชื่อถือคำพูดของเขา นี่คือลักษณะหนึ่งของการโอ้อวดเกินจริงในแวดวงธุรกิจครับ เมื่อผมทบทวนตัวเองแล้ว ก็ต้องยอมรับกับพระองค์ว่า สมัยก่อนตอนเป็นผู้เชื่อใหม่ ความเชื่อยังไม่เติบโตเข้มแข็ง ผมก็เคยทำแบบคนทั่วไปที่โฆษณาสินค้าหรือบริการตัวเองอย่างโอเวอร์เกินจริง เพราะอะไรครับ ก็เพราะไม่วางใจพระเจ้าว่า พระองค์จะช่วยหาลูกค้ามาซื้อ ตามระดับคุณภาพจริงๆของสินค้าและบริการ จึงต้องทำแบบมารคือ พูมุสาใส่สีตีไข่เพื่อให้ขายได้ แต่เมื่อเป็นคริสเตียนมาหลายปีเข้า ได้เห็นพระคุณความเมตตาของพระเจ้าหลายๆครั้ง ก็รู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องพูดโอ้อวดเกินจริง ไม่จำเป็นต้องใส่สีตีไข่ ถ้าสินค้าเรามีระดับคุณภาพ 3 ดาว ก็พูดโฆษณาไปตามความเป็นจริงระดับ 3 ดาว ไม่จำเป็นต้องไปใส่สีตีไข่ว่าดีเลิศระดับ 5ดาวในราคา 3ดาว การทำแบบนี้แสดงถึงขาดความวางใจพระเจ้าว่ พระองค์สามารถนำพาคนที่พอใจคุณภาพและราคาในระดับ 3 ดาวมาซึ้อครับ ทำอะไรก็ทำให้พระเจ้าพอใจ เดี๋ยวพระองค์ก็จะช่วยเอง ไม่ต้องไปทำแบบมารซาตานครับ
ส่วนในด้านชีวิตส่วนตัว ที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจการค้าขาย พระองค์ก็ทำให้ผมนึกได้ถึงผู้คนมากมายในยุคโซเชียลสังคมออนไลน์ ก็มักจะโอ้อวดตัวเองในรูปแบบต่างๆ บางคนโอ้อวดอย่างโจ่งแจ้ง บางคนก็มีวิธีโอ้อวดแบบเนียนๆ สาเหตุก็เพราะลึกๆเขาหิวกระหายการยอมรับทางสังคม อยากให้มีคนชื่นชมยกย่อง ตรงนี้คุณมาร์ค ซักเกอร์เบิก เจ้าของเฟสบุ๊คและอินสตาแกรม เขาจับจุดพฤกติกรรมมนุษย์ตรงนี้ได้ คือ มนุษย์ส่วนใหญ่หิวกระหายการยอมรับยกย่องชมเชยจากคนอื่น เขาจึงทำอะไรรู้มั๊ยครับ ? เขาจึงทำให้เฟสบุ๊คมีปุ่มให้กดไลท์ไงหล่ะครับ เจ้าปุ่มกดไลท์นี่แหละครับ ที่ทำให้เฟสบุ๊คโด่งดังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก เพราะจับจุดได้ว่า มนุษย์อยากอวดให้คนอื่นเห็นและชื่นชอบไงหละ่ครับ จึงพยายามถ่ายรูปสวยๆมาโพสต์เพื่อให้คนอื่นกดไลท์ พอโพสต์อะไรไปแล้วก็จะมาคอยนั่งดูว่า มีคนกดไลท์กี่คนแล้ว
และมีใครบ้างที่มากดไลท์ พอโพสต์ไหนมีคนกดไลท์น้อย ก็รู้สึกเสียใจ แต่ถ้าโพสต์ไหนคนกดไลท์เยอะ ก็จะตื่นเต้นดีใจมีความสุข เพราะอะไรครับ ก็เพราะหิวกระหายการชื่นชมจากคนอื่นไงหละครับ เมื่อได้รับไลท์แล้วก็อิ่มแปร้กับความรู้สึกได้รับการยอมรับชื่นชม วันต่อมาก็หิวอีก ก็ต้องสรรพารูปมาโพสต์ให้คนกดไลท์อีก บางคนลงทุนยอมจ่ายแพงๆไปกินข้าวในภัตราคารหรูๆ ถ่ายรูปมาอวดในโซเชียล บางคนลงทุนยอมเป็นหนี้ ไปเช่ารถหรูมาขับ และไปพักโรงแรมหรูๆ เพื่อจะได้ถ่ายรูปมาอวด ก็เพราะหิวการยอมรับชื่นชมจากคนอื่นไงหล่ะครับ พวกภัตราคารหรือโรงแรมหรูๆจับจุดพฤติกรรมนี้ของมนุษย์ได้ จึงพยายามทำภัตราคารตัวเองให้ดูเลิศหรูสวยงาม ทำโรงแรมรีสอร์ทของตัวเองให้โดดเด่นแตกต่าง เพราะเขาไมไ่ด้ขายแค่ที่กินที่นอน แต่เขาขายการอยากได้รับความชื่นชมยกย่องของมนุษย์ ขายให้กับคนที่หิวกระหายการได้รับความชื่นชมยกย่อง ถ้าไม่มีสื่อโชเชียลให้โพสต์โอ้อวดกัน พวกภัตราคารหรูหรือโรงแรมหรูก็คงมีลูกค้าน้อยกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ครับ
เฝ้าเดี่ยววันนี้ พระวิญญาณก็เตือนสติผมให้รู้เท่าทันอารมณ์ความคิดจิตใจตัวเองให้มากๆ เพราะผมเองก็ยังแอบมีนิสัยชอบอวดอยู่ แม้จะน้อยลงไปมากแล้ว ถ้าอวดและพูดเกินความจริงเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ก็เพราะขาดความวางใจพระเจ้า จึงต้องใส่สีตีไข่หวังให้คนซื้อ ถ้าอวดเรื่องชีวิตประจำวันเอาอะไรมาโพสต์ที่เกินไปจากความจริง ก็เพราะแอบอยากได้การชื่นชมยกย่องจากคนอื่น แทนที่จะถวายเกียรติพระเจ้าเพื่อได้รับการชื่นชมจากพระเจ้า
แต่เพื่อให้สมดุล ตรงนี้คุณก็ต้องไม่ใช่สงบเสงี่ยมเจียมตัวจนไม่เป็นความจริงนะครับ ท่านเปาโลกล่าวว่า จริงก็ว่าจริง ใช่ก็ว่าใช่ นอกนั้นมาจากมาร หมายถึง ถ้าคุณทำธุรกิจอะไร คุณมีความรู้ความสามารถอะไร คุณก็ต้องพูดให้คนอื่นรู้ แบบไม่เกินจริง และไม่น้อยกว่าความเป็นจริง เพื่อเขาจะได้ตัดสินใจว่าจะใช้บริการคุณหรือเปล่า สินค้าของคุณมีดีอะไรก็ต้องแจกแจงออกมาให้หมด ถ้าไม่พูดออกมาแล้วใครจะรู้หล่ะครับ แค่อย่าไปใส่สีตีไข่เกินความเป็นจริงเท่านั้น
หรือการโพสต์ในโซเชียล ชีวิตจริงคุณเป็นอย่างไรก็โพสต์ไปอย่างนั้น จริงก็ว่าจริง ใช่ก็ว่าใช่ ไม่ใช่เพื่อหวังจะได้รับการกดไลท์ แต่เพื่อคนที่มาเห็นเขาจะได้รู้จักคุณ และเขาจะได้ตัดสินใจว่า เขาจะเลือกคบหาสมาคมกับคุณหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องใส่สีตีไข่สร้างภาพเกินจริง ถ้าทำแบบนี้แล้ว พระเจ้าก็จะชักนำคนที่สนใจคบหากับคุณในสภาพที่คุณเป้นจริงๆ คุณก็จะได้เพื่อนดีๆที่เหมาะสมกับบริบทชีวิตคุณไงหล่ะครับ ดีกว่าให้เขามาเห็นตัวจริงของคุณแล้วก็มารู้ทีหลังว่าถูกหลอก และก็ทำให้เสียเวลาในการพัฒนาความสัมพันธ์ต่อกันไปอย่างไม่มีประโยชน์ อาเมนมั๊ยครับพี่น้อง
เอาหล่ะครับ มาร่วมสนุกกัน เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ คุณได้รับเรม่าห์อะไร ก็ให้เขียนคอมเม้นท์ลงในใต้คลิปนี้นะครับ คุณเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้แล้วหรือยังว่า คนเรามักพูดประจบสอพลอ เพราะอะไร? และพูดโอ้อวดใส่สีตีไข่เกินจริง เพราะอะไร? อะไรทำให้คนเรามักพูดไม่ตรงกับความเป็นจริง?
เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ ให้คุณหยุดและอธิษฐานขอพระวิญญาเปิดเผยสำแดงให้คุณได้รู้ว่า คุณเป็นคนอย่างไร ? คุณชอบพูดประจบใครๆหรือไม่? คุณมักชอบแอบพูดหรือทำอะไรโอ้อวดคนอื่นอยู่หรือเปล่า? คุณจะจัดการกับปัญหาในจิตวิญญาณของคุณอย่างไร เพื่อให้ถูกต้องตามน้ำพระทัยพระเจ้า? คุณจะตอบสนองอย่างไรกับเรม่าห์ที่ได้รับในวันนี้ ? ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่พูดอะไรตรงไปตรงมา ปากอย่างใจอย่าง คุณจะพึ่งพาฑลังของพระเจ้าอย่างไร ที่จะรับการเปลี่ยนแปลงจากพระองค์?
พรุ่งนี้เราจะเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยกัน เพื่อจะรับการเปลี่ยนแปลงความคิดคำพูดจิตใจ แล้วชีวิตคุณก็จะไม่ขาดการอัศจรรย์เลย คุณจะกลายเป็นท่อพระพรใหญ่สู่ผู้คนในวงกว้างมากมายได้ อาเมนมั๊ยพีน้อง ขอพระเจ้าอวยพร