คำพยานคริสเตียน: เรื่องจริงวิศวกรที่ชีวิตเจอทางตัน สู่การพบพระเจ้า (ตอนที่ 1)
บทนำ: คำพยานชีวิตของวิศวกรผู้ไม่เคยเชื่อในพระเจ้า
นี่คือ คำพยานชีวิต ว่าทำไมผมจึงได้มา เชื่อในพระเจ้า
ผมชื่อบิ๊ก ผมเรียนจบปริญญาตรีวิศวกรรมอุตสาหการจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาเมื่อประมาณ 20 กว่าปีก่อน หลังจากนั้นก็ได้เข้าทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทใหญ่หลายแห่งในกรุงเทพฯ จนได้ก้าวไปถึงตำแหน่งเกือบสูงสุดขององค์กร แต่ด้วยความเบื่อหน่ายชีวิตจำเจในโรงงานและด้วยใจรักด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เมื่อผมเก็บเงินสะสมเป็นเงินทุนได้ก้อนหนึ่ง ผมก็ไปเปิดบริษัททัวร์ที่ภูเก็ต มันเป็นช่วง Amazing Thailand แล้วกิจการก็รุ่งเรืองดีมาก เพราะค่าเงินบาทอ่อนตัว เงินดอลลาร์ก็มีค่าสูงเกือบ 45 บาทต่อดอลลาร์เลยทีเดียว ตอนนั้นฝรั่งก็มาเที่ยวกันเยอะมาก ผมทำธุรกิจไปด้วยเที่ยวไปด้วยในหลาย ๆ จังหวัดทั่วทะเลอันดามัน และเปิดออฟฟิศอยู่ริมชายหาดป่าตอง ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบนเกาะที่แสนสวยงามอยู่หลายปี
เมื่อชีวิตเจอทางตัน: จุดเริ่มต้นของการหาทางออกของชีวิต
แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดปัญหาใหญ่ เพราะช่วงนั้นเกิดเหตุผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินบินชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวก็กลัวและไม่เดินทางกันเลย จนธุรกิจทัวร์ทุกแห่งได้รับผลกระทบหนัก ธุรกิจผมเองก็เช่นกัน ลูกค้าหายไปเยอะมาก ช่วงนั้นผมก็เครียดมากกับการที่ต้องหารายได้มาจ่ายพนักงานและต้อง หาทางออก จาก ปัญหาหนี้สิน ธนาคาร และในที่สุดก็มาถึงจุดที่ ชีวิตเจอทางตัน ที่สุด คือในคืนวันนั้นผมนอนไม่หลับเลยจนถึงตี 3 ไม่รู้จะทำยังไง ผมก็เลยลุกขึ้นมาอธิษฐาน
อธิษฐานต่อพระเจ้าครั้งแรก ด้วยการค้นหาคำว่า "God in Phuket"
ตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้จักกับพระเจ้านะ ผมจึงเริ่มต้น อธิษฐานต่อพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็แบบเดียวกับชาวไทยทั่วไปที่ชอบอธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกาจักรวาลให้มาช่วยแก้ปัญหาหนักของผม ในคืนนั้นผมขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วยแก้ปัญหาที่เป็นทางตันของธุรกิจ ผมขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในจักรวาล เพราะว่าเล็ก ๆ ไม่เอา ผมคิดว่าปัญหาของผมนั้นใหญ่มาก
พออธิษฐานจบผมก็หลับไป แต่ตื่นขึ้นมาตอนเที่ยง ผมก็ไปค้นใน Google ตั้งใจว่าจะหาวัดจีนในภูเก็ต แต่ผมไปค้นด้วยคีย์เวิร์ดในคำว่า "God in Phuket" และในใจคิดว่า "God" แปลว่า "พระ" หรือ "เทพเจ้า" ปรากฏว่า Google ตอบมาในบรรทัดแรกสุดเลยเป็นเว็บไซต์ของคริสตจักรแห่งหนึ่งในภูเก็ต ผมเห็นมันขึ้นมาในบรรทัดแรกสุดของ Google ผมก็เลยคลิกเข้าไปอ่านดู ผมจำได้ว่าเมื่อคืนก่อนที่ผมจะนอนหลับ ผมอธิษฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในจักรวาลมาช่วยผม แต่ผมกลับมาเจอเว็บไซต์โบสถ์ที่พูดถึงเรื่องพระเจ้าเป็นเว็บแรกของเช้าวันนั้น ตอนนั้นผมก็ไม่เคยมีเพื่อนที่เป็นคริสเตียนผู้ เชื่อในพระเจ้า เลยสักคน แต่ผมเคยเห็นแต่เด็กนักศึกษาที่ชอบมาแจกใบปลิวตามมหาวิทยาลัย แล้วก็บอกว่า "พระเจ้ารัก คุณ"
พบทางสว่างในพระคัมภีร์ไบเบิล: สำหรับผู้แบกภาระหนัก
ผมเกือบจะเลิกความพยายาม แต่มันมีข้อความหนึ่งในเว็บไซต์ที่กระตุ้นให้ผมอยากจะไปต่ออีก ซึ่งผมยังจำได้ถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือข้อความที่เป็นข้อ พระคัมภีร์ไบเบิล ข้อหนึ่งที่ปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ ก็คือมัทธิวบทที่ 11 ข้อ 28 ข้อความนั้นว่า "บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและ แบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข" ผมอ่านข้อความนี้ในเว็บไซต์แล้วมันก็รู้สึกว่าช่างเป็นข้อความที่แปลกประหลาด มันเหมือนกับเป็นคำสัญญาที่หนักแน่น และคนที่สัญญาคือพระเยซู ผมรู้สึกว่ามันเป็นคำพูดที่ให้ความหวังและให้กำลังใจมากเลยในสภาพที่สิ้นหวัง คำว่า "บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและ แบกภาระหนัก จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยเป็นสุข" มันดังก้องอยู่ในหัวผม ผมจนหนทางแก้ปัญหาในตอนนั้น รู้สึก แบกภาระหนัก จริง ๆ
ถึงแม้ผมจะยังไม่รู้จักพระเยซูที่พูดคำนี้ แต่ข้อความนี้มันเป็นข้อความที่อยู่ใน พระคัมภีร์ไบเบิล และก็ปรากฏอยู่บนเว็บไซต์เว็บแรกที่ผมเปิดเข้าไปอ่าน มันรู้สึกทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาเยอะเลย มันมีความรู้สึกเหมือนกับว่าพระเยซูกำลังพูดกับผมโดยตรง พูดเข้าไปข้างในจิตวิญญาณเล็ก ๆ ของผม ผมก็เลยจดชื่อและที่อยู่ของโบสถ์นั้นไว้ แล้วผมก็ขับรถออกไปค้นหาด้วยใจร้อนรน วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ช่วงบ่าย ๆ ผมขับรถออกไปเพื่อที่จะค้นหาพระเจ้าจากข้อมูลที่ผมได้เห็นในเว็บไซต์หน้าเดียวหน้านั้น ด้วยความหวังว่าจะได้พบคำตอบตามคำมั่นสัญญาของพระเยซูที่พระองค์เชื้อเชิญให้ผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและ แบกภาระหนัก ให้มาหาพระองค์
ประสบการณ์พบพระเจ้า ณ โบสถ์คริสเตียน ภูเก็ต
ผมขับรถวนไปวนมาทั่วภูเก็ตหลายรอบ หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ โบสถ์คริสเตียน ภูเก็ต แห่งนั้นเลย จนผมชักท้อใจ คิดว่าจะกลับบ้านเสียแล้ว แต่ด้วยความที่ผมกำลังเดือดร้อนหนัก ต้องการความช่วยเหลือตามคำมั่นสัญญาของพระเยซู ปัญหาใหญ่ที่เป็นทางตันมันรออยู่ข้างหน้า ในที่สุดผมก็เลยแวะจอดรถข้างทาง ไม่รู้จะทำอะไร นั่งซบหน้ากับพวงมาลัยแล้วก็หลับตา อธิษฐาน ในใจว่า "พระเยซู พระองค์เชิญให้ผมมาหาพระองค์ แต่พระองค์รู้ไหม ผมขับรถไปทั่วภูเก็ตแล้ว ผมหาไม่เจอ ช่วยผมด้วย" ขณะที่ผมอธิษฐานเสร็จ ผมก็กะว่าจะลองขับรถตระเวนหาต่ออีกสักหน่อย แต่ยังไม่ทันสตาร์ทรถ ก็มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา ชี้ไปที่อาคารแห่งหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจุดที่ผมจอดรถอยู่ คุณรู้ไหม มันช่างบังเอิญอย่างอัศจรรย์ เพราะมันเป็นอาคารที่มีป้ายชื่อโบสถ์ที่ผมกำลังหาอยู่พอดีเลย
ผมเพ่งมองดูป้ายชื่อโบสถ์บนอาคารซึ่งเป็นตึกแถว 2 คูหา 4 ชั้น แล้วก็นึกสงสัยในใจว่า เอ๊ะ ทำไมผมขับรถวนไปวนมาแต่ไม่เห็นโบสถ์นี้สักที นึกไปนึกมาก็เลยเข้าใจตัวเองว่าเป็นเพราะในใจผมนั้น จดจ่ออยู่แต่จะหาโบสถ์ที่มีหน้าตาแบบโบสถ์ที่เห็นในหนังฝรั่ง ผมก็เลยมองข้าม โบสถ์คริสเตียน ที่มักจะมีหน้าตาแบบตึกแถวไป
คำถามในใจ: พระเจ้าช่วยได้ไหม และทำไมพระเจ้ารักคนบาป?
ผมรีบเดินข้ามถนนไปที่อาคารนั้น พอถึงหน้าอาคารที่มีป้ายชื่อคริสตจักรตามที่เห็นในเว็บไซต์ ผมก็นึกลังเลสงสัยขึ้นมาเพราะมันดูไม่น่าศรัทธาแบบที่เห็นในโบสถ์คาทอลิก แต่จู่ ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งมาเปิดประตูแล้วก็เชิญผมเข้าไปข้างใน เธอถามผมว่าต้องการมาหาใครหรือ ผมบอกว่าผมเห็นสถานที่นี้จากในเว็บไซต์แล้วผมก็อยากจะรู้เรื่องของพระเจ้า อยากรู้เรื่องพระเยซู ผมก็เลยขับรถแวะมาที่นี่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน ประสบการณ์พบพระเจ้า ของผม
เธอบอกผมว่า "เราจะมีการประชุมกันช่วงเช้า ตอนนี้ทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว ถ้าพี่ยังสนใจอยากรู้จักพระเจ้าก็ขอเชิญให้กลับมาใหม่นะ ในตอน 18:00 น. วันนี้เราจะมีการประชุมรอบค่ำกันอีกรอบหนึ่ง" แล้วเธอก็หยิบหนังสือปกสีน้ำเงินหนา ๆ เล่มหนึ่งส่งมาให้ผม มันเป็นหนังสือที่มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ด้วยความเกรงใจเธอ ผมก็เลยควักเงินจ่ายให้ แต่เธอกลับยิ้มกลับมาอย่างร่าเริงและไม่ยอมรับเงิน บอกว่าให้ฟรีสำหรับคนที่มาเยี่ยมที่นี่
บ่ายวันนั้นผมก็ขับรถกลับบ้านอย่างผิดหวัง รู้สึกเหมือนเสียเวลาแล้วก็เสียความรู้สึกมาก สิ่งที่เห็นมันไม่ตรงกับความคาดหวัง ขณะกำลังนั่งเซ็ง ก็มีโทรศัพท์ 4-5 สายดังขึ้น ล้วนแต่เป็นเจ้าหนี้โทรมาทวงติด ๆ กันเลยกับเงินที่ผมค้างชำระอยู่ ตอนนั้นผมก็วิตกกังวลแล้วก็เครียดหนักมาก ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง
ในที่สุดผมก็เลยกลับไปค้นหาใน Google อีกรอบ และเว็บที่สองมันก็กลับเป็นบทความที่อธิบายเกี่ยวกับ พระคัมภีร์ไบเบิล และผมก็อ่านมาเจอข้อความหนึ่งที่ทำให้ผมขนลุกแล้วก็จดจำมาถึงทุกวันนี้เลย เพราะว่าหน้าแรกของเว็บนั้นมีข้อความหนึ่งเขียนไว้ว่า "เยเรมีย์บทที่ 29 ข้อ 13 ถ้าเจ้า แสวงหาเรา และพบเรา เมื่อเจ้า แสวงหาเรา ด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า" คุณรู้ไหมเหมือนเป็นข้อความที่สะดุดใจผมมากที่สุด เหมือนกับเจาะจงพูดกับผมโดยตรงเลย
เว็บนั้นอธิบายว่าพระเจ้าองค์เดียวกันนี้ก็ยังทรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ก็มีแผนการดีเยี่ยมเช่นเดียวกันสำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกที่กำลังตกเป็นเชลยอยู่กับความทุกข์ยากลำบาก เป็นทาสของความบาป เป็นทาสของหนี้สิน เราทุกคนสามารถที่จะพบกับพระองค์และได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์ ถ้ามีใจ แสวงหาพระองค์ อย่างจริง ๆ คุณรู้ไหมผมอ่านคำอธิบายแล้วผมนํ้าตาแทบไหลเลย มันเป็นคำพูดที่โดนใจมาก ๆ ในขณะนั้น
บทสรุปของการหาทางออกของชีวิต: จุดเริ่มต้นของการเชื่อในพระเจ้า
จนใกล้ค่ำผมตัดสินใจจะขับรถกลับไปที่องค์กรลึกลับนั้นอีกครั้ง เพราะรู้สึกมั่นใจเล็ก ๆ ว่าผมจะได้พบกับอะไรบางอย่างที่อาจจะเป็น หาทางออกของชีวิต ผมแน่ ๆ ผมคิดในใจว่า วิศวกร อย่างผมบ้าไปแล้วหรือที่กำลังจะไปหาคำตอบจากสถานที่ที่ไม่น่าศรัทธาที่สุด
แต่ยังไงก็ตามวันนั้นผมตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เป็นไงเป็นกัน เพราะเสียงของสิ่งที่ผมได้อ่านเจอในเว็บไซต์นั้นมันดังก้องอยู่ในหัวผมมากกว่า เสียงที่พูดทำนองว่า "ถ้าเจ้า แสวงหาเรา ด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า เจ้าจะได้พบเรา" มันเป็นเสียงในหัวที่มีพลังดึงดูดมาก มันทำให้ผมอยากจะ แสวงหาพระเจ้า
ในที่สุดผมก็โทรชวนเพื่อนสนิทสองสามคนเพื่อจะได้ไปด้วยกัน แต่เพื่อน ๆ ต่างก็ปฏิเสธไม่ยอมไปด้วย พวกเขาร้องโวยวายว่า "เฮ้ย พวกเราก็เป็นคนดี ไม่ใช่คนบาป ไปหาพระเยซูทำไม" เพื่อนคนหนึ่งบอกผมว่าเขาเคยได้ยินมาว่า พระเยซูรักคนบาป มาเพื่อช่วยคนบาป ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องไปหรอก ผมถามเขาว่า "ทำไมล่ะ" เขาก็บอกว่า "ก็พวกเราเป็นคนดีไง พระเยซูไม่ได้บอกว่าพระองค์รักคนดี" ผมก็เกือบจะคล้อยตามเหตุผลของเพื่อนคนนี้ เพราะผมเองก็เป็น วิศวกร ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี
ผมก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าผมเป็นคนดี พระเยซูคงไม่น่าสนใจเพราะว่าพระองค์บอกว่าพระองค์มาเพื่อ คนบาป แต่ตอนนั้นก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมาอีก มันเป็นเสียงของลูกน้องโทรมางานว่ามีคนจากไฟแนนซ์มาขอพบ บอกว่าจะมาขอยึดรถคืนเพราะค้างค่ารถเกิน 3 เดือนแล้ว เมื่อมันจวนตัวมาก ๆ ผมก็เลยตัดสินใจรีบบอกลูกน้องไปว่าผมมีนัดกำลังจะออกไปข้างนอก ให้เขาเลื่อนไฟแนนซ์ให้มาใหม่ในวันพรุ่งนี้แทน ว่าแล้วผมก็รีบขับรถเบิ่งออกไปทันที
ระหว่างทางที่ผมขับรถไปคนเดียว ในใจก็นึกถึงข้อความในไบเบิลนั้นที่พระเยซูพูดว่า "บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและ แบกภาระหนัก จงมาหาเรา เราจะให้เจ้าหายเหนื่อยเป็นสุข" ผมก็เลยคิดได้ว่าแม้ผมจะไม่ใช่คนบาป (ตอนนั้นคิดเข้าข้างตัวเองว่าไม่ใช่คนบาป) แต่ผมรู้ตัวเองว่าผมเป็นคน แบกภาระหนัก จริง ๆ หลายเรื่อง ผมก็น่าจะลองไปหาพระเยซูดู เพราะว่าพระองค์สัญญาไว้ชัดเจนว่าจะช่วยให้หายเหนื่อยและเป็นสุข สุดท้ายผมก็เลยตัดสินใจเด็ดขาด ขับรถดิ่งไปที่ตึกแถวนั้นที่ดูเหมือนองค์กรลับนั่นแหละครับ
แต่พอไปถึงมันก็ค่อนข้างจะสายไปเยอะแล้ว เพราะตอนนั้นเป็นเวลาค่ำมืด แต่ข้างในเปิดไฟสว่าง แม้จะมีฟิล์มดำที่กระจกด้านหน้าตึก แต่ก็พอมองเห็นลาง ๆ มีคนประมาณ 100 กว่าคนยืนยกไม้ ยกมือร้องเพลงกันข้างใน ตอนนั้นผมก็นึกสงสัยในใจว่าพวกเขามาฝึกร้องเพลงหมู่เพื่อจะไปออกงานคอนเสิร์ตการกุศลกันหรือยังไง นี่หรือคือส่วนหนึ่งของการ แสวงหาพระเจ้า ที่น้องวัยรุ่นผู้หญิงคนนั้นบอกว่าจะมีการประชุมกันรอบเช้ากับรอบค่ำ
ในระหว่างยืนจ๋อง ๆ อยู่หน้าประตู กำลังลังเลใจว่าจะกลับดีไหม จู่ ๆ.....
(ถ้าคุณไม่มีเวลาอ่านเนื้อหายาวๆจากบทความนี้ คุณสามารถรับฟังได้จากยูทูปครับ ...หรือจะอ่านต่อเรื่องราวต่อไปข้างล่างนี้ก็ได้ครับตามอัธยาศัย )
จู่ ๆ ก็มีน้องวัยรุ่นผู้หญิงคนนั้นแหละ แต่งตัวตามแฟชั่น หันมาเห็นผมแล้วเธอก็จำผมได้ เธอก็หยุดร้องเพลงรีบเดินมาเปิดประตูให้ผมเข้าไป เธอยิ้มอย่างดีใจ มันก็เป็นยิ้มแบบเมื่อตอนกลางวันอีกนั่นแหละ เหมือนกับเซลส์แมนยิ้มเมื่อเห็นลูกค้า ผมคิดในใจว่าเอาล่ะสิ หนีกลับไม่ทันเสียแล้วเรา แต่ผมก็บอกกับเธอว่าผมเสียงไม่ดีคงจะร้องเพลงไม่เพราะไม่เหมาะที่จะเข้าไปร่วมร้องเพลง เธอก็หัวเราะแล้วเธอก็บอกว่า "ไม่ใช่แบบนั้น" แล้วเธอก็ชวนให้ผมเดินตามเธอเข้าไปในห้องประชุม จากนั้นเธอก็พาผมไปนั่งเก้าอี้แถวหน้าสุด ซึ่งมันก็แปลกที่คนส่วนใหญ่นั่งกันเต็มห้อง แต่แถวหน้ากลับไม่ค่อยมีใครนั่ง ผมแอบมองไปรอบ ๆ ก็เห็นคนส่วนใหญ่ที่กำลังยืนร้องเพลงเป็นชาวต่างชาติทั้งนั้น มีทั้งฝรั่งและเอเชียปนกัน เห็นมีคนไทยไม่กี่คนตามแถวหลังสุด และผมก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าคริสเตียนจะดีใจที่เห็นคนใหม่ ๆ มาเข้าร่วมประชุมด้วย แล้วก็จะส่งยิ้มให้คนใหม่เพื่อสร้างความสนิทสนมเป็นกันเอง คนที่มาใหม่ก็จะได้รู้สึกอบอุ่นไม่โดดเดี่ยว และก็อยากจะกลับมาที่ โบสถ์คริสเตียน ภูเก็ต แห่งนี้อีกในครั้งต่อไป
ผมมองออกไปบนเวทีก็เห็นโปรเจคเตอร์ฉายภาพเนื้อเพลงที่ร้องกันอย่างต่อเนื่อง ผมเลยลองร้องเพลงคลอตามไปกับข้อความในโปรเจคเตอร์ เนื้อเพลงพูดถึงพระคุณยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พูดถึงความรักและการเสียสละของพระเยซู ร้องไปก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นลึก ๆ ข้างใน บางท่อนของเนื้อเพลงทำให้ผมขนลุกและนํ้าตาไหลไม่รู้ตัว มันรู้สึกถึงความสงบผ่อนคลายและมีสันติสุขมาก จนผมลืม ปัญหาหนี้สิน ที่กำลัง แบกภาระหนัก อยู่ไปหมดสิ้นเลย นี่คงเป็น ประสบการณ์พบพระเจ้า ในรูปแบบหนึ่งที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน บนเวทีนั้นก็มีนักดนตรีหลายคนใส่สูทผูกเนคไทอย่างสวยหรู และมีฝรั่งร่างใหญ่คนหนึ่งอายุราว ๆ 40 ปีคงจะเป็นนักร้องนำ เขาดีดกีตาร์ไปร้องเพลงไป บางทีก็เป็นภาษาอังกฤษ บางทีก็เป็นภาษาอะไรแปลก ๆ ที่ผมมารู้ทีหลังว่ามันเป็นการพูดภาษาแปลก ๆ ซึ่งเป็นภาษาสวรรค์
แต่พอมาถึงเพลงสุดท้ายจบลง ฝรั่งคนนี้ก็พูดอะไรบางอย่างเป็นภาษาอังกฤษยืดยาว ผมฟังออกประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อพูดจบคนทั้งห้องประชุมก็ร้องพร้อมกันว่า "อาเมน" แล้วเขาก็บอกให้นั่งลง ก็มีนิ้วมือของคนที่นั่งติดผมด้านซ้ายมาสะกิดผม ผมหันไปมองก็เห็นเขายิ้มให้อย่างอบอุ่น หน้าตาก็คล้าย ๆ คนไทยอายุมากกว่าผมเล็กน้อย ผมก็เลยทักทายสวัสดีเขา แต่เขาตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ เขายื่นนามบัตรให้ผมแล้วก็แนะนำตัวเองว่าเขาเป็นชาวสิงคโปร์มาทำงานเป็น GM โรงแรม 5 ดาวแห่งหนึ่งในหาดกะตะ
ผมแนะนำตัวเองไปว่าผมเป็นวิศวกรและก็เป็นนักธุรกิจชาวไทย ผมเล่าว่าช่วงนี้ผมกลุ้มใจสุด ๆ มีปัญหาเยอะที่บริษัท และนี่คือ คำพยานชีวิต ของผมที่กำลังเกิดขึ้น ผมก็เลยลองมาที่นี่เพื่อดูว่าพระเจ้าคือใคร และสงสัยว่า พระเจ้าช่วยได้ไหม ผมอยากจะมา แสวงหาพระองค์ เขามองหน้าผมแบบขำ ๆ พยักหน้ารับรู้อย่างไม่แปลกใจ มันเหมือนกับว่าเขาเคยชินแล้วกับหลาย ๆ คนที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก เขาหัวเราะเบา ๆ ให้กับผมอย่างเป็นกันเอง ก่อนที่จะเอ่ยด้วยนํ้าเสียงหนักแน่นจริงจังกับผมว่า "คุณจะได้เจอกับพระองค์แน่ ๆ" เขาพูดต่อว่า "ผมอยากขอให้คุณมาที่นี่บ่อย ๆ ในทุก ๆ สัปดาห์ ผมจะช่วยเป็นพี่เลี้ยงแนะนำวิธีที่คุณจะได้พบพระองค์ให้เอง"
แต่ว่าคุยไปคุยมาเขาก็คุยแต่เรื่องพระเจ้า เล่าเรื่องที่เขาได้มา เชื่อในพระเจ้า เพราะอะไร และหลังจากที่เขาเชื่อพระเจ้าแล้วชีวิตของเขาดีขึ้นยังไง เขาไม่ได้เชียร์ให้ผมสมัครขายตรงขายสินค้าอะไรเลย ผมก็เลยรู้สึกสบายใจขึ้นแล้วก็รู้สึกอบอุ่นใจว่าได้มีเพื่อนใหม่ ๆ ดี ๆ แล้ว ซึ่งต่อมาภายหลังชาวสิงคโปร์คนนี้ก็กลายเป็นเพื่อนคริสเตียนที่สนิทสนมมากคนหนึ่งของผม ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นก็มีคนถือถุงกำมะหยี่สีแดงเดินมาตามเก้าอี้ มีคนเอาเงินใส่ซองในถุงสีแดงนั้น ผมคิดในใจว่าคงจะเป็นการบริจาคทำบุญเหมือนเวลาเราไปวัด แต่ก็มารู้ทีหลังว่ามันไม่ใช่การทำบุญ แต่เป็นการถวายสิบลดคืนให้กับพระเจ้า ตอนนั้นผมก็กำลังลังเลใจว่าจะใส่อะไรลงไปในถุงดีไหมเพราะมีเงินติดตัวก็น้อยนิด จู่ ๆ ฝรั่งร่างใหญ่บนเวทีนั้นก็ประกาศออกไมค์ว่า "สำหรับคนที่เพิ่งมาใหม่ในวันนี้ ถ้ายังไม่เข้าใจการถวายนี้ก็ขอให้ถุงถวายผ่านท่านไปก่อน"
พอผมได้ยินปั๊บ มือที่กำลังจะควักกระเป๋าออกมาก็หยุดทันที พร้อมกับถอนใจอย่างโล่งอก ผมเหลือเงินติดกระเป๋าไม่กี่ร้อยแล้วเช้าวันพรุ่งนี้เจ้าหนี้ก็มารอทวงอยู่เพียบ ผมรู้สึกขอบคุณฝรั่งร่างใหญ่คนนั้นขึ้นมาทันที และหลังจากนั้นฝรั่งร่างใหญ่ที่ดูเหมือนนักร้องนำคนนั้นก็กล่าวว่า "ขอให้ทุกคนอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าด้วยกัน" พอจบจากนั้นเขาก็เปลี่ยนบทบาทมาเป็นวิทยากร เปิดหนังสือเล่มใหญ่แล้วก็อ่านบางข้อความในนั้น เพื่อนชาวสิงคโปร์ที่นั่งติดกับผมก็เปิดให้ผมอ่านด้วย เขาบอกว่าเป็น พระคัมภีร์ไบเบิล มันเป็นบันทึกถ้อยคำของพระเจ้า แค่นั้นแหละผมก็รู้สึกเลื่อมใสขึ้นมาทันที เพราะว่าหนังสือทั้งเล่มมีตัวเลขกำกับทุกประโยคเลย
ผมเห็นหลายคนต่างก็มีกันคนละเล่ม ซึ่งมันก็แตกต่างกับชาวพุทธที่ไปวัดแต่ไม่เคยเห็นใครสักคนที่ถือหนังสือพระไตรปิฎก เป็นจุดแรกที่ชาวพุทธอย่างผมเริ่มเกิดความเลื่อมใสศรัธทาในพระเจ้าของพวกคริสเตียน พอฝรั่งร่างใหญ่คนนั้นอ่านข้อความบางข้อในหนังสือเสร็จ เขาก็เริ่มอธิบายขยายความในภาษาของเขาเอง ทุกคนต่างก็ตั้งใจฟังเขาพูด แม้ผมจะเข้าใจไม่ถ่องแท้นัก แต่ผมสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ทำให้ข้างในมีสันติสุขมาก มันเหมือนกับความวิตกกังวลเคร่งเครียดค่อย ๆ สลายหายไป ในที่สุดผมก็เผลอสัปหงกแล้วก็งีบหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
ก่อนจบการประชุม ฝรั่งร่างใหญ่คนนั้นก็อธิษฐานเผื่อเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วพวกเขาก็เลิกประชุมกัน หลายคนมาทักทายผมและก็แจกนามบัตรให้ผม ชวนให้ผมกลับมาอีกในวันอาทิตย์หน้า ผมสังเกตว่ามีหลายคนที่สีหน้าอิ่มเอิบเต็มไปด้วยความสุขแล้วก็จับมือกันบ้าง กอดกันบ้าง ราวกับเป็นพี่น้องเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะ หาทางออกของชีวิต และจะได้เจอพระเจ้าได้อย่างไร ก็เห็นสาวน้อยวัยรุ่นคนนั้นเดินจูงมือฝรั่งร่างใหญ่ดิ่งมาหาผม เธอแนะนำผมว่าฝรั่งร่างใหญ่คนนี้เป็นมิชชันนารีชาวอังกฤษ เขามาบุกเบิกคริสตจักรที่นี่แล้วก็เป็นศิษยาภิบาลของที่นี่ด้วย
เขาถามผมว่าใครแนะนำให้ผมมาที่นี่ ผมบอกว่าผมเห็นในเว็บไซต์แล้วผมก็อยากจะรู้จักพระเจ้า ผมก็เลยมาเอง เขาหัวเราะแล้วก็พูดคำว่า "ฮาเลลูยา" และเขาพูดกับผมด้วยนํ้าเสียงที่ดูแสนจะจริงใจแล้วก็จริงจังว่า "คุณรู้ไหม พระเจ้าเป็นคนนำคนมาที่นี่นั่นเอง คุณจะได้พบพระองค์เร็วเท่าที่คนเปิดใจต่อพระองค์" ซึ่งต่อมาภายหลังผมจึงรู้ว่ามิชชันนารีชาวอังกฤษคนนี้พูดถูก เพราะว่าพระเจ้ามักจะใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเราชักนำให้เรามาหาพระองค์
หลังจากนั้นฝรั่งร่างใหญ่เขาก็พาผมไปนั่งคุยในห้องส่วนตัวของเขา เราก็เริ่มต้นสนทนากัน เป็นบทสนทนาที่ไม่ยาวนานนักแต่กลับดึงดูดความสนใจผมอย่างแรง และก็ทำให้วิศวกรที่เคยเชื่อในหลักวิทยาศาสตร์อย่างผมนอนไม่หลับไปหลายคืนเลยทีเดียว เพราะว่าผมจะต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าเรื่องที่เขาเล่าให้ผมฟังมันเป็นเรื่องจริงกันแน่
เขาเป็นฝ่ายเริ่มสนทนาก่อนด้วยการถามผมว่ามีอะไรทำให้ผม แสวงหาพระเจ้า แล้วก็ได้มาถึงที่คริสตจักรนี้ ผมตอบเขาไปว่าผมเป็นวิศวกรที่ฉีกแนวมาทำธุรกิจทัวร์ แต่ว่าไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้มีผู้ก่อการร้ายสากลเอาเครื่องบินมาบินชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ส่งผลให้แทบไม่มีนักท่องเที่ยวมาภูเก็ต รายได้ผมก็เลยตกมากในขณะที่ค่าใช้จ่ายก็ยังสูงเท่าเดิม ผมเครียดหนักมาก ก็เลย อธิษฐานต่อพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในจักรวาลให้ช่วยผม ผมจึงย้อนถามเขากลับไปว่า "แล้วพระเจ้าเป็นใครกันครับ" เขาหัวเราะเบา ๆ ไม่ตอบคำถามผมทันที แต่หันไปหยิบหนังสือ พระคัมภีร์ไบเบิล เล่มหนายื่นมาให้ผม บอกผมว่าหนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นตั้งแต่ก่อนที่จะมีศาสนาทุกศาสนาในโลก และจัดว่าเป็นหนังสือ Top Seller ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในโลกเลย
เขาพูดจนผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกบในกะลา ผมก็จัดว่าเป็นหนอนหนังสือคนหนึ่งไม่งั้นก็คงเรียนไม่จบวิศวะ แต่ว่าผมกลับไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในชีวิตนี้มีหนังสือที่ขายดีที่สุดในโลกแบบนี้ มันทำให้ วิศวกร ที่ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ อย่างผม รู้สึกสนใจอยากค้นหาความจริงไม่น้อย และแล้วเขาก็เปิดหน้าแรกสุดแล้วก็บอกให้ผมอ่านประโยคแรกสุดของหนังสือประโยคเดียวเท่านั้น ปฐมกาลบทที่ 1 ข้อ 1 กล่าวว่า "ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก" พอผมอ่านจบเขาถามผมว่าคิดยังไงกับข้อความนี้ แต่ผมนั่งนิ่งอยู่นานก็เพราะว่ามันขัดแย้งกับความรู้เดิมของผมราวฟ้ากับเหว ผมถูกปลูกฝังความเชื่อแบบชาวพุทธ และอีกอย่างหนึ่งผมจบวิศวะเท่าที่เรียนวิชาด้านวิทยาศาสตร์มา โลกเราเกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่าบิ๊กแบง
แต่เขาไม่ได้อธิบายขยายความข้อความในประโยคนี้ เขาเลยถามผมว่า "คุณเล่าว่าเมื่อคืนก่อนที่คุณจะมาที่นี่ คุณอธิษฐานขอให้มีคนมาช่วยแก้ปัญหาหนักของคุณ ผมอยากรู้ว่าคุณขอความช่วยเหลือจากใครเหรอครับ" ผมก็เลยตอบเขาไปว่า "ผมก็ขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครับ...ผมก็เลยขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล"
พอเขาฟังผมจบเขาก็หัวเราะลั่น เขาเห็นผมไม่พอใจเขาก็เลยรีบตอบผมกลับมาว่าเขาไม่ได้หัวเราะเยาะผม แต่เขาหัวเราะดีใจที่พระเจ้าท่านเป็นคนตอบคำอธิษฐานของผมโดยที่ผมเองยังไม่รู้ตัว ผมถามเขางง ๆ ว่า "พระเจ้าตอบคำอธิษฐานผมยังไงกัน" เขาตอบว่า "ก็ใน พระคัมภีร์ไบเบิล ข้อความแรกสุดบันทึกไว้ว่าพระเจ้าเป็นคนเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก ดังนั้นพระเจ้าจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตามที่คุณขอให้ช่วยเมื่อคืนก่อนไง ไม่มีพระองค์ไหนที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าผู้สร้างโลกสร้างจักรวาลได้จริงไหม"
คำพูดของเขาทำให้ผมต้องนึกทบทวนความเชื่อของตัวเอง เขาโยงเอาคำอธิบายของข้อความประโยคแรกในไบเบิลเข้ากับสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับผม ถ้าผมเชื่อว่ามีพระเจ้าจริง ผมก็จะได้คำตอบทันทีว่าผมมาอยู่ที่คริสตจักรนี้ได้ก็เพราะพระองค์ตอบคำอธิษฐานของผม นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ วิศวกรเชื่อพระเจ้า ได้ง่ายขึ้น ผมจำได้ว่าในคืนนั้นเองที่ผมเริ่มเปลี่ยนความคิดจากที่ไม่เชื่อเลยกลายเป็นเริ่มเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแล้วล่ะ แต่สำหรับนักธุรกิจที่เคยเป็นวิศวกรเก่าอย่างผมก็ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ หรอก ผมถามมิชชันนารีชาวอังกฤษคนนี้กลับไปว่า "ผมยังไม่อยากจะเสียเวลามาตัดสินใจลงไปว่าโลกนี้มีพระเจ้าจริงหรือไม่ เพราะว่าผมกำลังมีเรื่องร้อนใจ ถึงจะรู้คำตอบว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่จริงมันก็ไม่เห็นเกี่ยวกับ ปัญหาหนี้สิน หาทางออก ที่ผมกำลังเจออยู่ ไฟแนนซ์กำลังจะมายึดรถผม...พระเจ้าของคุณในไบเบิลถ้าเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดถึงกับสร้างจักรวาล พระองค์ก็คงยิ่งใหญ่มาก ๆ จนไม่มีเวลาที่จะมาสนใจปัญหาเล็ก ๆ ของผมซึ่งเป็นหนึ่งในประชากร 7 พันล้านคนบนโลกนี้"
เขามองหน้าผมด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเข้าใจในความคิดของผม และสีหน้าเขาก็แสดงออกถึงความห่วงใยในปัญหาของผมอย่างจริงใจ ผมรู้สึกสัมผัสได้ถึงความรักความอบอุ่นจากปฏิกิริยาของเขาในขณะที่ฟังผมบรรยายถึงปัญหาของผมจนผมแทบจะร้องไห้ มันคล้ายกับมีญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งกำลังเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ใจกับภาระหนักมากที่ผมแบกอยู่ จากนั้นเขาก็ไม่ได้พยายามสอนหรืออธิบายว่าผมจะหายจากความเครียดวิตกกังวลได้ยังไง แต่เขากลับเปลี่ยนเรื่องหันมาเล่าถึงนักธุรกิจชาวอังกฤษคนหนึ่งให้ผมฟัง แล้วก็มันเป็นเรื่องที่ทำให้ผมต้องตัดสินใจด้วยตัวเองอีกครั้งว่าจะ เชื่อในพระเจ้า หรือไม่เชื่อดี ถ้าผมเชื่อผมก็จะมีและกำลังใจกลับไปนอนหลับฝันดี แต่ถ้าผมไม่เชื่อผมก็จะกลับบ้านไปด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย นอนไม่หลับไปอีกหลายคืน ผมก็มีทางเลือกแค่ 2 ทางนี้เท่านั้น จะเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่เขากำลังจะเล่าต่อไป ถ้าคุณอยากรู้ว่ามิชชันนารีร่างใหญ่คนนี้จะพูดอะไรต่อไป ก็อย่าพลาดติดตามตอนต่อไปนะครับ