วันนี้เรามาถึง **บทที่ 18** ของซีรีส์ **"ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์"** 🎉 ผ่านการเฝ้าเดี่ยวจาก **พระธรรมสดุดี**
🌟 **ดาวิด** ได้ร้องเพลงขอบพระคุณพระเจ้า ที่ทรงช่วยกู้เขาจากศัตรู 🏹💨 พระองค์ทรงเป็น **ศิลา ป้อมปราการ และผู้ช่วยกู้** ของเรา! 💪✨
💡 **ไฮไลต์สำคัญ:**
✅ บอกรักพระเจ้าให้เป็นนิสัย ❤️🙏
✅ ยกย่องสรรเสริญฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ⚡🌍
✅ ขอบพระคุณที่พระเจ้าทรงนำเราออกจากปัญหาเสมอ ✨🙌
✅ ความแตกต่างระหว่าง **พันธสัญญาเดิม** และ **พันธสัญญาใหม่** 🤔📖
✅ เราได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า **โดยพระคุณ ไม่ใช่โดยการกระทำ** ✝️💖
🔥 **"เหตุฉะนั้นให้เราทั้งหลายมีใจกล้าที่จะเข้าไปใกล้พระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และพบพระคุณที่จะช่วยเราในยามต้องการ"** — **ฮีบรู 4:16**
🎬 **มาร่วมเฝ้าเดี่ยวไปด้วยกัน และรับพระคุณที่เปลี่ยนชีวิต!** 🕊️✨
📌 **ฝากกดไลค์ 👍 แชร์ ❤️ และติดตาม 🔔 เพื่อไม่พลาดพระพรดีๆ นะครับ!**
#เฝ้าเดี่ยว #สดุดี18 #พระเจ้าทรงเป็นศิลา #ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์ #พระคุณพระเจ้า #คำอธิษฐานที่ทรงพลัง 🙏💖
จัดทำคลิปโดย.... คุณบิ๊ก
พันธกิจ...Big Miracle
Line ID...BigBig477
www.bigmiracle.org
สวัสีดีครับพี่น้อง คลิปนี้เป็นบทที่ 18 ของซีรีย์ "ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์" ด้วยการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ สดุดี
ในสดุดีบทที่ 18 นี้ เป็นบทเพลงที่ดาวิดร้องขอบพระคุณพระเจ้า ที่พระองค์ได้ช่วยกู้เขาออกจากศัตรู อาจเป็นตอนที่กษัตริย์ซาอูลไล่ฆ่าเขาในถิ่นทุรกันดาร และพระเจ้าตอบคำอธิษฐานโดยปกป้องคุ้มครองและนำทางเขาหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย
บทนี้ค่อนข้างยาวมาก และมีเนื้อหาคล้ายกับในหนังสือ 2 ซามูเอล บทที่ 22 เป๊ะเลย คงก๊อปปี้มาใส่ในหนังสือสดุดีบทนี้ครับ ผมจะสรุปย่อๆดังนี้นะครับ
ใน (ข้อ 1-3) ดาวิดเริ่มต้นด้วยการแสดงความรักต่อพระเจ้า คือ เขากล่าวว่า ("ข้าพเจ้ารักพระองค์ ) นี่เป็นแบบอย่างของคริสเตียนเรา เมื่อเราตื่นขึ้นมา คำพูดแรกเราควรพูดว่า "พระเจ้าที่รัก ลูกรักพระองค์ครับ" การพูดแบบนี้จะดึงให้จิตวิญญาณของคุณเข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกับพระองค์ทันทีครับ ก่อนที่คุณจะลุกไปทำกิจกรรมอื่นๆ ดังนั้น ขอหนุนใจให้พูดบอกรักพระเจ้าให้บ่อยๆ เหมือนลูกบอกรักพ่อแม่นะครับ แล้วจะมีส่วนช่วยให้คุณไม่กลายเป็นคริสเตียนศาสนาหรือคริสเตียนเนื้อหนังครับ
จากนั้นดาวิดก็สารยายถึงพระเจ้าว่าเป็น พระองค์ทรงเป็นศิลา เป็นป้อมปราการ และผู้ช่วยกู้ ตรงนี้คริสเตียนเราก็ควรเลียนแบบครับ บอกรักเสร็จ ก็ให้สรรเสริญพระองค์ว่าเป็นศิลาเป็นป้อมปราการ ซึ่งทำให้คุณรู้สึกถึงความมั่นคงปลอดภัยเมื่ออยู่ในความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า
ใน(ข้อ 4-6) จากนั้นดาวิดก็บรรยายถึงช่วงเวลาที่ยากลำบาก และเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า และพระองค์ก็ตอบคำอธิษฐานของเขา นี่ก็เป็นแบบอย่างการนึกถึงความช่วยเหลือจากพระเจ้าในอดีตที่ผ่านมาหลายๆครั้ง ตรงนี้คริสเตียนก็ควรเลียนแบบดาวิด คือ บอกรักเสร็จ ก็ให้สรรเสริญ จากนั้นให้นึกถึงเหตุการณ์ที่เป็นปัญหา แล้วพระเจ้าช่วยกู้ให้ออกจากปัญหามาได้หลายๆครั้ง นำมาขอบพระคุณครับ ผมเองจะมีสมุดจนบันทึกการขอบพระคุณ คือก่อนจะเฝ้าเดี่ยว ผมจะนึกว่า เมื่อวานนี้มาอะไรดีๆเกิดขึ้นบ้าง แล้วก็เอามาจดบันทึกในสมุดขอบพระคุณ อย่างน้อยวันละ 10 เรื่อง ทำแบบนี้แล้วคุณจะสัมผัสได้ได้ถึงการทรงสถิตจากพระองค์และไม่หลงลืมวามรักความเมตตาของพระองค์ที่ได้นำคุณก้าวผ่านอุปสรรคปัญหามาถึงจุดนี้ได้ แม้ก้าวต่อไปจะมีปัญหาใหญ่โต คุณก็จะไม่หวั่นไหว เพราะคุณมั่นใจว่า พระองค์ก็จะทรงช่วยคุณอีกเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา สรุปคือ การบอกรักพระเจ้า สรรเสริญ และขอบพระคุณ ถ้าทำเป็นประจำทุกวัน จะเป็นการตอกย้ำเข้าไปในจิตใต้สำนึกของคุณ และทำให้คุณเกิดความเชื่อวางใจพระเจ้าอย่างหนักแน่นมั่นคงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆครับ แล้วจะนำมาซึ่งการอัศจรรย์ผ่าทางตันด้วยพลังไร้ขีดจำกัดของพระเจ้า และด้วยพระคุณความรักความเมตตาที่พระองค์มีต่อคุณ ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ชีวิตคุณเต็มเปี่ยมด้วยการอัศจรรย์ครับ
ใน (ข้อ 7-15) ดาวิดสารยายถึง พลังอำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้า โดยใช้ภาพพายุ ฟ้าร้อง และแผ่นดินไหวเพื่อแสดงถึงฤทธิ์อำนาจสูงสุดของพระองค์
นี่ก็เป็นการยกย่องสรรเสริญอีกวิธีหนึ่งถ้าคุณเฝ้ายกย่องสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ปัญหาของคุณจะหดเล็กลงครับ แต่ถ้าคุณเอาแต่สรรเสริญปัญหา พระเจ้าในความคิดของคุณก็จะหดเล็กลง ดังนั้น คุณต้องสรรเสริญพระเจ้าให้บ่อยที่สุด ไม่ใช่เอาแต่สรรเสริญปัญหาครับ
ใน(ข้อ 16-19) แล้วพระเจ้าก็ยื่นพระหัตถ์ลงมาช่วยดาวิด และพาเขาไปในที่กว้างใหญ่ เมื่อคุณทำแบบดาวิดแล้ว การอัศจรรย์ก็จะเกิดขึ้นครับ คือพระเจ้าก็ยื่นมือลงมาช่วย
ใน (ข้อ 20-29) ดาวิดกล่าวว่า พระเจ้าทรงตอบแทนในความชอบธรรมของเขา
และใน (ข้อ 30-45) กล่าวว่า พระเจ้าทรงทำให้ดาวิดมีชัยชนะ โดยประทานกำลังให้ดาวิดเอาชนะศัตรูรู
ใน (ข้อ 46-50) ดาวิดปิดท้ายด้วยการสรรเสริญพระเจ้าที่ช่วยเขารอดพ้นจากศัตรู
ที่กล่าวมา ผมสรุปย่อๆนะครับ ถ้าคุณอยากรู้รายละเอียด ก็ไปเปิดอ่านเองได้ เพราะบทนี้ค่อนข้างยาวมากครับ
ถึงตรงนี้ ให้คุณหยุดชั่วขณะและอธิษฐานถามพระวิญญาณว่า มีเรม่าห์พิเศษอะไรที่พระองค์ต้องการจะบอกคุณหรือไม่อย่างไร
สำหรับผม ผมรู้สึกสะดุดใจตรงข้อที่ 20 -21 พระเจ้าทรงตอบแทนข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า ทรงปูนบำเหน็จแก่ข้าพเจ้าเนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนมือสะอาด 21 เพราะข้าพเจ้ารักษาบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ทำบาปโดยหันไปจากทางของพระเจ้า
พระคัมภีร์ตอนนี้ ดาวิดกำลังกล่าวว่า การที่พระเจ้าทรงตอบแทนเขา ก็เพราะเขาเป็นคนชอบธรรม และพระเจ้าปูนบำเหน็จให้เขา เนื่องจากเขาเป็นคนมือสะอาด เพราะเขารักษาบัญญัติของพระองค์ เขาไม่ได้ทำบาป
ผมจึงเอาพระคัมภีร์ตอนนี้มาอธิษฐานขอเรม่าห์พิเศษจากพระวิญญาณ ผมถามพระองค์ว่า นี่แสดงว่า เงื่อนไขที่พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานคือ ผมต้องไม่ทำบาปเลย ต้องมือสะอาด รักษาธรรมบัญญัติของพระองค์อย่างเคร่งครัดให้ได้เสียก่อนแบบดาวิด ใช่หรือไม่ แล้วพระเจ้าจึงจะตอบคำอธิษฐาน และจะปูนบำเหน็จหรือจะอวยพรผม ผมต้องบริสุทธิ์ไม่ทำบาปเลยใช่หรือไม่ เพราะดาวิดพูดไว้แบบนี้?
แล้วผมก็รออยู่ชั่วขณะ พระวิญญาณก็ตอบผม โดยทำให้ผมระลึกได้ถึง
โรม 5:8 "แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย โดยที่ขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา"
แล้วพระองค์ก็สอนผมว่า ในพันธสัญญาเดิม ทุกคนต้องทำแบบดาวิด คือต้องมือสะอาดและพยายามไม่ทำผิดกฎบัญญัติ เพราะเป็นเงื่อนไขที่พระเจ้าจะตอบและปูนบำเหน็จ
แต่สำหรับพันธสัญญาใหม่ พระเจ้าได้ส่งพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยแล้ว ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่ได้ช่วยเจ้าหรือปูนบำเหน็จให้เจ้า เพราะเจ้าเป็นคนดีมือสะอาดและพยายามรักษากฎบัญญัติ ไม่ใช่ไปทำแบบดาวิดหรือคนในพันธสัญญาเดิม เพราะในพันธสัญญาใหม่ พระเจ้าตอบคำอธิษฐานและปูนบำเหน็จหรืออวยพรเจ้า ก็เพราะพระองค์รักเจ้า แม้ขณะที่เจ้ายังเป็นคนบาปอยู่เลย พระเจ้าก็ได้ส่งพระเยซูมาช่วยเจ้าแล้ว โดยมารับโทษบาปแทนเจ้า พระเจ้าไม่ได้มีเงื่อนไขว่า เจ้าจะต้องเป็นคนดีเลิศประเสริฐศรี ไม่ทำบาป 100% เสียก่อน แล้วพระเจ้าจึงจะช่วยและอวยพรเจ้า ไม่ใช่อย่างนั้น แต่พระเจ้าช่วยเจ้าเพราะพระองค์รักเจ้า
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง เอเฟซัส 2:8-9 "เพราะว่าซึ่งท่านทั้งหลายได้รับความรอดนั้นก็เป็นพระคุณ โดยความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า มิใช่เนื่องจากการกระทำ เพื่อมิให้ใครอวดได้"
แล้วพระองค์ก็สอนผมต่อว่า เจ้าได้รับความรอดเป็นเพราะพระคุณที่ให้เปล่าๆ โดยความเชื่อของเจ้า เจ้าเชื่อในพระเยซูคริสต์ เจ้าก็ได้รับ ไม่ใช่เพราะเจ้ามีความประพฤติดีจึงได้รับ แต่เพราะเป็นของประทานจากพระเจ้าต่างหาก เพื่อเจ้าจะโอ้อวดความดีของตัวเองไม่ได้เลย
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง ฮีบรู 4:16 "เหตุฉะนั้นให้เราทั้งหลายมีใจกล้าที่จะเข้าไปใกล้พระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และพบพระคุณที่จะช่วยเราในยามต้องการ"
แล้วพระวิญญาณก็หนุนใจผมอีกว่า สำหรับคริสเตียนในพันธสัญญาใหม่ อย่าหวาดกลัวพระเจ้า แต่ให้มีใจกล้าที่จะเข้ามาใกล้พระองค์ และทูลขอพระเมตตา แล้วจะได้รับพระคุณที่พระองค์จะช่วยเจ้าในยามที่ต้องการ
โอ้มายก๊อด เมื่อได้รับเรม่าห์หลายข้อนี้แล้ว ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมากเลยครับ คือเวลาคุณอ่านพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม คุณต้องระวังให้มากๆ อย่าไปคิดแบบคนในยุคพันธสัญญาเดิมนะครับ คุณต้องอธิษฐานขอเรม่าห์ด้วย เพราะตอนนี้คุณเป็นคนในยุคพันธสัญญาใหม่แล้ว พระเจ้าไม่ได้ปฎิบัติต่อคุณเหมือนคนในพันธสัญญาเดิมแล้ว เพราะคุณเกิดมาหลังจากที่พระเจ้าได้ส่งพระเยซูมาช่วยแล้ว แต่ดาวิดเขาเกิดในทามไลน์ช่วงที่พระเยซูยังไม่มา เขาจึงต้องพยายามรักษาบัญญัติให้ได้ เพราะถ้าเขารักษาไม่ได้ เขาก็จะไม่มั่นใจว่าพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐาน และไม่มั่นใจว่าจะได้รับบำเหน็จหรือการอวยพรใดๆจากพระเจ้า
มันต่างกันนะครับ บางเรื่องเราต้องเลียนแบบดาวิด แต่บางเรื่องเราต้องไม่ลืมว่า เราเป็นคนในยุคพันธสัญญาใหม่ ดาวิดกล่าวว่า พระเจ้าจะตอบตามความชอบธรรมของเขา และเขามั่นใจว่าเขามือสะอาดและรักษาบัญญัติของพระองค์ นี่คือความมั่นใจในความชอบธรรมของตัวดาวิดเอง จึงทำให้เขามั่นใจว่าพระเจ้าจะตอบเขา
แต่สำหรับคริสเตียนในพันธสัญญาใหม่ต่างกันนะครับ เราไม่ได้มั่นใจในความดีความชอบธรรมของตัวเราเอง แต่เรามั่นใจในความชอบธรรมของพระเยซู และพระองค์ได้รับบาปของเราไปแล้วที่กางเขน และเราก็ได้รับความชอบธรรมของพระเยซูมาเป็นความชอบธรรมของเรา ในฮีบรูจึงเขียนไว้ว่า ให้คริสเตียนเรามีใจกล้า ให้มีความมั่นใจในการเข้ามาใกล้พระที่นั่งของพระเจ้า และทูลขอพระเมตตา แล้วเราจะได้รับพระคุณความช่วยเหลือตามที่เราต้องการครับ กุญแจของคนในพันธสัญญาเดิมคือ เขาต้องพยายามไม่ทำบาปให้ได้ 100% เขาจึงจะมั่นใจว่าพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานเขา แต่กุญแจของคนในพันธสัญญาใหม่แตกต่างกัน กุญแจของเราคือ เรามั่นใจในการแลกเปลี่ยนที่กางเขนครับ เรามั่นใจว่า พระเยซูได้แลกเปลี่ยนรับบาปเราไปไว้ที่พระองคืแล้ว และแลกเปลี่ยนให้ความชอบธรรมของพระองค์มาอยู่ที่เราแทน เราจึงถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมแล้ว ม่านในพระวิหารฉีกขาดแล้ว เราจึงเข้ามาใกล้พระที่นั่งได้ และอธิษฐานทูลขอพระเมตตาความช่วยเหลือจากพระองค์ได้ โดยความเชื่อในพระคุณความรักของพระองค์ครับ เราต้องมีท่าทีแบบนี้ในการอธิษฐานต่อพระเจ้า ไม่ใช่มีท่าทีแบบดาวิดซึ่งเป็นคนในพันธสัญญาเดิมครับ
ถ้าขณะนี้คุณกำลังมีปัญหาอะไรจู่โจมเข้ามา ก็ให้คุณมีใจกล้าอธิษฐานขอพระเมตตาจากพระเจ้า ซึ่งเป็นพระบิดาของคุณ แล้วคุณจะได้รับความช่วยเหลือโดยพระคุณ พระองค์ช่วยคุณเพราะรักและเมตตาคุณ เพราะคุณอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่โดยความดีเลิศประเสริฐศรีของคุณครับ ถ้าคุณยังลังเลสงสัยว่า พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานหรือไม่ คุณดีพอหรือไม่ คุณคู่ควรหไม่ที่พระเจ้าจะตอบ ก็ขอให้ปรับท่าทีใหม่นะครับ เมื่อคุณเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ คุณก็ถูกนับว่าชอบธรรมแล้ว พระเจ้าจะปฎิบัติต่อคุณเหมือนพ่อที่รักและเมตตาลูก ด้วยพระคุณของพระองค์
ยังจำได้มัีย พระคุณคือการให้เปล่าๆโดยไม่ต้องทำอะไรแลกเปลี่ยน เหมือนพ่อแม่ที่ทำอะไรให้คุณมากมายแบบเปล่าๆฟรีๆ โดยไม่ได้เรียกร้องอะไรจากคุณ คุณไม่ได้เป็นคนดีเลิศประเสริฐศรีก่อนแล้วพ่อแม่จึงจะช่วยคุณจริงมั๊ยครับ แต่พ่อแม่ช่วยคุณก็เพราะคุณเป็นลูก และพ่อแม่รักคุณจึงช่วยคุณครับ พระเจ้าพระบิดาก็เช่นกัน นี่คือความเชื่อของคนในพันธสัญญาใหม่ แล้วคุณจะรักพระเจ้ามากขึ้นเยอะเลย และคุณจะไม่อยากทำบาป ไม่อยากดื้อกับพระเจ้า แต่จะตอบสนองความรักของพระเจ้ากลับ โดยรักพระองค์กลับคืนไงหล่ะครับ แล้วการเชื่อฟัง ก็จะเชื่อฟังอย่างเต็มใจ ไม่ใช่เชื่อฟังไปตามกฎ
สรุปก็คือ คนในพันธสัญญาเดิม จะต้องรักษาธรรมบัญญัติและดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมให้ได้เสียก่อน แล้วพระเจ้าจึงตอบแทน ด้วยการช่วยเหลือและอวยพร
แต่คนในพันธสัญญาใหม่ ความชอบธรรมไม่ได้มาจากการกระทำของเรา แต่มาจากพระเยซูคริสต์ต่างหาก เพราะเราเชื่อในพระเยซู เราจึงได้รับความชอบธรรมตามพระสัญญา และเราไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าจากความดีของเราเอง แต่จาก พระคุณของพระองค์ต่างหากครับ คนในพันธสัญญาเดิมจะต้องเคร่งบัญญัติเหมือนทุกๆศาสนาบนโลก แต่ดังนั้น คนในพันธสัญญาใหม่จึงไม่ใช่การนับถือศาสนา แต่เป็นการมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าแบบลูกกับพ่อ เรามาหาพระเจ้าได้เสมอ ไม่ว่าชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ถ้าเชื่อวางใจในพระเยซู ก็ไม่มีเงื่อนไขใดๆในการมารับพระคุณความเมตตาจากพระเจ้า นี่คือจุดแตกต่างที่คุณควรอธิบายให้ชาวพุทธหรือศาสนาใดๆก็ตามบนโลกให้เข้าใจจุดนี้ครับ
ถึงตรงนี้ ผมก็มีความคิดนึงแวบขึ้นมา ผมถามพระวิญญาณไปว่า ถ้าเป็นแบบนี้ คริสเตียนก็สนุกกับการทำบาปสิ เพราะทำบาปอะไรก็ไม่มีผลอะไร พระเจ้าก็ยังรักและยังตอบคำอธิษฐาน ทำบาปแล้วพระเจ้าก็ยังปูนบำเหน็จและอวยพร เพราะพระองค์ทรงรักเราและมีพระคุณให้เราเสมอ ใช่หรือเปล่าครับพระองค์
แล้วผมก็สัมผัสได้ว่า พระวิญญาณยิ้มให้ผมในวิญญาณจิต ในคำถามนี้ของผมครับ
พระองค์ตอบโดยทำให้ผมระลึกได้ถึง โรม 6:1-2 "ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอย่างไร? เราจะอยู่ในบาปต่อไปเพื่อพระคุณจะเพิ่มพูนขึ้นหรือ? ขออย่าให้เป็นเช่นนั้น พวกเราที่ตายต่อบาปแล้ว จะมีชีวิตอยู่ในบาปต่อไปได้อย่างไร?"
แล้วพระองค์ก็เตือนสติผมว่า ท่านเปาโลกล่าวชัดเจนแล้วว่า คริสเตียนไม่ควรใช้พระคุณของพระเจ้าเป็นข้ออ้างหรือเป็นใบเบิกทางในการทำบาป เพราะเราได้ตายต่อบาปแล้ว แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง กาลาเทีย 5:13 "พี่น้องทั้งหลาย ท่านได้รับเรียกให้มีเสรีภาพก็จริง แต่จงอย่าใช้เสรีภาพนั้นเพื่อปล่อยตัวตามเนื้อหนัง แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก"
พระองค์สอนผมต่อไปอีกว่า ความรอดในพระเยซู เป็นเสรีภาพจากบาป ไม่ใช่เสรีภาพที่จะทำบาป ไม่ใช่คิดว่า ยังไงๆพระเจ้าก็รักเจ้าและมีพระคุณต่อเจ้า แล้วเจ้าก็ปล่อยตัวไปตามความปราถนาชั่วของเนื้อหนัง มันไม่ใช่แบบนั้น พี่น้องที่รัก ตรงนี้พูดง่ายๆก็คือ คริสเตียนเราไม่ได้พยายามทำดีให้ได้ 100% เพื่อจะรอด แต่เรารอดแล้วโดยทางพระเยซู เราจึงตอบสนองต่อพระคุณความรักของพระเจ้าด้วยการทำดี มันกลับกันกับคนในพันธสัญญาเดิมนะครับ
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง 📖 2 โครินธ์ 5:17 "ถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่า ๆ ก็ล่วงไป ดูเถิด กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น" และพระองค์สอนผมว่า การเป็นคริสเตียนไม่ใช่แค่การสักแต่รับพระคุณอย่างเดียว แต่ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง ยอมให้พระเจ้าก่อร่างสร้างตัวตนขึ้นใหม่ ไม่ยึดติดกับตัวตนเก่าๆอีกต่อไป
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง 📖 1 ยอห์น 3:9 "ผู้ที่บังเกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาปเป็นนิสัย เพราะเมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าดำรงอยู่ในเขา และเขาทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า"
แล้วพระวิญญาณก็ขยายความให้ผม get มากขึ้นคือ คนที่ได้รู้จักพระเจ้าและเข้าใจพระคุณของพระเจ้าอย่างลึกซึ้งแล้ว ได้ซาบซึ้งในความรักของพระองค์อย่างแท้จริงแล้ว เขาก็จะไม่อยากทำบาปอีก ไม่ใช่เพราะกฎบัญญัติบังคับ แต่เป็นเพราะเกิดความรักในพระเจ้า และอยากเชื่อฟังพระองค์โดยอัตโนมัติ
โอ้ไอซี พี่น้องที่รัก คนในพันธสัญญาใหม่ ไม่ใช่ว่าจะต้องพยายามไม่ทำบาปด้วยกำลังตัวเอง เพื่อหวังจะได้รับการยอมรับและการช่วยเหลือจากพระเจ้า ไม่ๆๆๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าคุณคิดแบบนี้ คุณจะไม่มีวันได้รับอะไรจากพระเจ้าเลย เพราะคุณไม่มีทางที่จะบริสุทธิ์ได้ 100% ด้วยตัวเองเลย แค่คิดลบๆนิดเดียวก็บาปแล้ว วันๆคุณคิดลบกี่เรื่องคุณรู้ตัวมั๊ยครับ แม้จะยังไม่ออกมาเป็นการกระทำ พระคัมภีร์ก็ถือว่าบาปแล้ว แต่พระเจ้าประทานทางออกให้แก่เรา โดยทางพระเยซูคริสต์ เมื่อพระวิญญาณเตือนเรา เราก็สาราภาพบาปกลับใจ แล้วเริ่มเดินใหม่ ถ้าเราทำบาปซ้ำๆอยู่ตลอด พระเจ้าซึ่งเป็นพ่อในสวรรค์รักเรา ก็จะตีสอนฝึกวินัยเราด้วยความรักครับ ดังนั้น เป็นคนในพันธสัญญาใหม่ อย่าเอาความมั่นใจในความดีเลิศของตัวเองมาเรียกร้องให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานคุณ หรืออวยพรคุณ แต่ให้เอาความถ่อมใจยอมรับว่าคุณต้องการพระองค์ช่วยคุณ ด้วยพระคุณความรักความเมตตาของพระองค์ ในฐานะลูกที่ต้องการความช่วยเหลือจากพ่อ
คุณต้องมาหาพระเจ้าด้วยท่าทีนี้ครับ แล้วคุณจึงจะได้เห็นการอัศจรรย์จากพระคุณความเมตตาของพระบิดา ถ้ารู้สึกฟ้องผิดอะไร ซึ่งอาจเป็นบาปรายวันที่เกิดจากเนื้อหนังตัวตนเก่านิสัยเก่าของคุณ ก็นำมาสารภาพและกลับใจ แล้วทูลขอพลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะช่วยคุณให้เดินใหม่ได้ จากนั้นก็ให้มีใจกล้า เข้ามาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าอย่างมั่นใจ ในฐานะลูกที่ขอต่อพ่อครับ แล้วดำเนินชีวิตโดยมีพระวิญญาณเป็นผู้นำทางคุณในทุกก้าวทำแบบนี้คุณจะไม่เป็นคริสเตียนเคร่งศาสนา และไม่เป็นคริสเตียนเนื้อหนังด้วย อาเมนมั๊ยครับพี่น้อง
เอาหล่ะครับ มาร่วมสนุกกัน เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ คุณได้รับเรม่าห์อะไร ก็ให้เขียนคอมเม้นท์ลงในใต้คลิปนี้นะครรับ คุณเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้แล้วหรือยังว่า พระเจ้าตอบคำอธิษฐานเพราะความชอบธรรม มือสะอาดและการพยายามรักษาบัญญัติของคุณ ใช่หรือเปล่า? หรือพระองค์ตอบเพราะตัวพระองค์เอง ไม่เกี่ยวกับพฤติกรรมของคุณ? ตอบเพราะพระคุณความรักความเมตตาที่มีต่อคุณ?
คุณคิดว่า คุณต้องบริสุทธิ์ชอบธรรมให้ได้ 100% เสียก่อน พระเจ้าจึงจะยอมรับและอวยพรคุณ คุณคิดแบบนี้หรือเปล่า? หรือคุณคิดว่า คุณบริสุทธิ์ชอบธรรม 100% แล้ว โดยความเชื่อที่คุณมีต่อพระเยซู ? คุณมั่นใจหรือยังว่า คุณถูกนับว่าชอบธรรมแล้ว โดยความชอบธรรมของพระเยซู ที่แลกเปลี่ยนบนกางเขนมาให้แก่คุณ ทำให้พระเจ้านับว่าคุณโอเคชอบธรรมแล้ว ทำให้พระเจ้ายอมรับคุณแล้ว? คุณกำลังคิดแบบคนในพันธสัญญาเดิม หรือคิดแบบคนในพันธสัญญาใหม่?
เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ ให้คุณหยุดและอธิษฐานขอพระวิญญาเปิดเผยสำแดงให้คุณได้รู้ว่า คุณเป็นคนอย่างไร ? คุณมาหาพระเจ้า ด้วยความรู้สึกว่า คุณเป็นลูกสุดที่รักของพระองค์หรือเปล่า? หรือคุณคิดว่า คุณยังไม่ดีพอ ไม่คู่ควรที่พระองค์จะรักและจะมีเมตตาต่อคุณ? ถ้าคุณเกิดความรู้สึกฟ้องผิดในใจ จนไม่กล้าเข้าใกล้พระเจ้า ไม่มั่นใจว่า พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานหรือเปล่า คุณจะทำอย่างไร? และพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะมีส่วนช่วยคุณในเรื่องใดบ้าง?
พรุ่งนี้เราจะเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยกัน เพื่อจะเข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ดีเลิศ แล้วชีวิตคุณจะไม่ขาดการอัศจรรย์เลย คุณจะกลายเป็นท่อพระพรใหญ่สู่ผู้คนในวงกว้างมากมายได้ อาเมนมั๊ยพีน้อง ขอพระเจ้าอวยพร