🙏 สวัสดีครับพี่น้อง! ยินดีต้อนรับสู่บทที่ 9 ของซีรีส์ "ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์" 🎉 วันนี้เราจะมาศึกษาการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์สดุดีบทที่ 9 📖
ในบทนี้ แม้จะไม่ระบุชัดเจนว่าเขียนขึ้นเมื่อใด แต่สะท้อนถึงช่วงที่ดาวิดได้รับชัยชนะในสงคราม 🛡️ ท่านสรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรมและปกป้องเขาจากศัตรู 🙌
**สรุปเนื้อหา:**
- **ข้อ 1-2:** ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าด้วยสุดใจ ❤️ และประกาศพระราชกิจอันอัศจรรย์ของพระองค์ 🌟
- **ข้อ 3-6:** พระเจ้าทรงต่อสู้แทนดาวิด ทำให้ศัตรูพ่ายแพ้ และลบชื่อคนชั่วไปตลอดกาล ⚔️
- **ข้อ 7-10:** พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรม ⚖️ ผู้ที่วางใจในพระองค์จะไม่ถูกทอดทิ้ง 🙏
- **ข้อ 11-12:** ดาวิดเรียกร้องให้ประชากรสรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงครอบครองศิโยน 🏰 ปัจจุบันพระเจ้าสถิตอยู่ทุกหนแห่ง 🌍
- **ข้อ 13-14:** ดาวิดร้องขอพระเมตตาให้ช่วยเขาจากศัตรู 🆘 ในยุคนี้ ศัตรูอาจหมายถึงปัญหาที่เข้ามาในชีวิต 🌪️
- **ข้อ 15-18:** คนชั่วจะพินาศและติดกับดักที่ตนเองทำขึ้น 🕳️ แต่คนยากจนจะไม่ถูกลืม และผู้ที่ทุกข์ยากจะได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้า 🤲
- **ข้อ 19-20:** ดาวิดอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงพิพากษาโลก 🌐 และให้ประชาชาติตระหนักว่าพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ 👥
**ข้อคิดที่ได้รับ:**
1️⃣ เมื่อคริสเตียนเผชิญความอยุติธรรม ให้วางใจว่าพระเจ้าทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม ⚖️
2️⃣ แม้คริสเตียนอาจถูกทอดทิ้งจากมนุษย์ แต่พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา 🤗
3️⃣ อย่ากลัวคนชั่วที่ดูเหมือนเจริญรุ่งเรือง เพราะในที่สุดพวกเขาจะต้องพินาศและติดกับดักของแผนการตนเอง 🚫
4️⃣ คริสเตียนควรสรรเสริญพระเจ้าเสมอ แม้ในยามทุกข์ยากลำบากก็ตาม แล้วจะได้เห็นการอัศจรรย์ ✨
**เรม่าห์ที่ได้รับ:**
ผมประทับใจเป็นพิเศษกับพระคัมภีร์ข้อ 9 ที่กล่าวว่า: "พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนที่ถูกกดขี่ ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งในเวลายากลำบาก" 🛡️
พระวิญญาณบริสุทธิ์หนุนใจผมว่า แม้เราจะเผชิญความทุกข์ยากลำบากในโลกนี้ แต่เราสามารถชื่นใจได้เพราะพระเยซูได้ชนะโลกแล้ว 🌍✝️
**ข้อคิดเพิ่มเติม:**
- **ความหวังในพระเจ้า:** แม้ในความทุกข์ยากลำบาก เราก็ยังมีความหวังในพระเจ้าเสมอ 🌈
- **พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่ง:** เราวางใจได้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกสถานการณ์ และจะนำเราไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ 🕊️
- **การทรงสถิตของพระเจ้า:** เราไม่ต้องเผชิญปัญหาตามลำพัง เพราะพระองค์ทรงอยู่กับเราเสมอ 🤝
**สรุป:**
ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าได้ในทุกโอกาส ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด 🎶 สำหรับคริสเตียนในยุคนี้ เราก็ควรเลียนแบบดาวิด คือสรรเสริญพระคุณความรักของพระเจ้า และความยิ่งใหญ่ของพระองค์เสมอ 🙌
พระเยซูไม่ได้สัญญาว่าเราจะไม่มีปัญหา แต่พระองค์สัญญาว่าเราจะมีสันติสุขแม้ในปัญหา 🕊️ เพราะ:
- เรามีความหวังว่าพระเจ้าเตรียมสิ่งที่ดีกว่าให้เรา 🌟
- เรามั่นใจว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่ง 🎛️
- เราไม่ต้องเผชิญปัญหาตามลำพัง พระองค์ทรงอยู่กับเรา 🤗
ดังนั้น แม้ว่าเรายังต้องเผชิญความทุกข์ยากในโลกนี้ แต่เราสามารถชื่นใจได้เพราะเรารู้ว่า พระเยซูชนะแล้ว และเราก็จะชนะร่วมกับพระองค์ในที่สุด 🏆
**คำถามสำหรับพี่น้อง:**
- คุณได้รับเรม่าห์อะไรจากการเฝ้าเดี่ยววันนี้? 📝
- คุณเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้แล้วหรือยัง ถึงความสำคัญของการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า? 🎤
- คุณรู้หรือยังว่า การสรรเสริญและขอบพระคุณตลอดเวลา จะเป็นผลดีต่อจิตวิญญาณของคุณอย่างไรบ้าง? 💖
- คุณรู้แล้วหรือยังว่า การอัศจรรย์จากภายในออกสู่ภายนอกคืออะไร? ต้องทำอย่างไรจึงจะเกิดการอัศจรรย์แบบนี้ขึ้นในชีวิตคุณ? 🌟
ขอเชิญพี่น้องแบ่งปันเรม่าห์และความคิดเห็นของท่านในคอมเมนต์ใต้คลิปนี้ 💬 แล้วพบกันใหม่ในบทต่อไป ขอพระเจ้าอวยพรครับ 🙏
จัดทำคลิปโดย.... คุณบิ๊ก
พันธกิจ .... Big Miracle
Line ID...BigBig477
สวัสีดีครับพี่น้อง คลิปนี้เป็นบทที่ 9 ของซีรีย์ "ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์" ด้วยการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ สดุดี
สำหรับบทที่ 9 นี้ ไม่ได้ต่อเนื่องกับหลายๆบทก่อนหน้า ที่เกี่ยวเนื่องกับการกบฎของอับซาโลม ลูกชายของดาวิดนะครับ และก็ไม่ได้ระบุชัดว่า ดาวิดเขียนสดุดีบทนี้ในช่วงเวลาใดของชีวิต
อย่างไรก็ตาม สดุดีบทนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ดาวิดอาจเขียนขึ้นหลังจากได้รับชัยชนะในสงคราม ซึ่งเป็นช่วงที่เขาต้องเผชิญศัตรูมากมาย เช่น ชาวฟิลิสเตีย หรือศัตรูที่แข็งแกร่งของอิสราเอล และดาวิดสรรเสริญพระเจ้าวา่ พระองค์ทรงยุตริธรรม ทรงทรงพิพากษาคนชั่วและปกป้องเขา
ผมขอสรุปเนื้อหาดังนี้นะครับ
(ข้อ 1-2) ดาวิดกล่าวว่าเขาจะสรรเสริญพระเจ้าด้วยสุดใจ และจะประกาศพระราชกิจอันอัศจรรย์ของพระองค์ ซึ่งก็คือการเป็นพยานและประกาศข่าวประเสริฐการไถ่บาปของพระเยซูในยุคนี้นะครับ
(ข้อ 3-6) ดาวิดกล่าวว่า พระเจ้าได้ต่อสู้แทนดาวิด และทำให้ศัตรูต้องพ่ายแพ้ พระองค์ทรงทำลายคนชั่วและลบชื่อพวกเขาไปตลอดกาล ซึ่งอันที่จริง ดาวิดและทหารของเขาเป็นผู้ต่อสู้ แต่ดาวิดยกย่องสรรเสริญว่า เป็นเพราะพระเจ้ช่วยให้ชนะ
(ข้อ 7-10) ดาวิดกล่าวว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรม และตัดสินโลกด้วยความเที่ยงธรรม คนชั่วจะถูกพิพากษาตามการกระทำของเขา ส่วนผู้ที่วางใจในพระเจ้าจะไม่ถูกทอดทิ้ง
(ข้อ 11-12) ดาวิดเรียกร้องให้ประชากรสรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงครอบครองศิโยน ศิโยนคือที่ตั้งของพลับพลา เป็นศูนย์กลางการนมัสการพระเจ้าของชาวยิวสมัยนี้ แต่ปัจจุบัน ความเชื่อของคริสเตียนเราเชื่อว่า พระเจ้าสถิตอยู่ทุกหนแห่ง ไม่ได้อยู่เฉพาะที่ศิโยน และก็ไม่ได้สถิตอยู่เฉพาะที่อาคารโบสถ์ หรือในงานสัมมนาฟื้นฟูต่างๆ พระองค์สถิตอยู่ในบ้านคุณ และอยู่ในตัวของคริสเตียนทุกคน โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ คุณไม่จำเป็นต้องเดินทางไปนมัสการสรรเสริญพระเจ้าที่ประเทศอิสราเอล คุณสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้บนเก้าอี้โซฟาที่คุณกำลังเฝ้าเดี่ยวได้เลย และทำได้ตลอดเวลาที่สะดวก ไม่จำเป็นต้องเฉพาะวันอาทิตย์
(ข้อ 13-14) ดาวิดร้องขอพระเมตตา ขอให้พระเจ้าทรงช่วยเขาจากเงื้อมมือศัตรู ในสมัยดาวิด ศัตรูคือคนเผ่าอื่นๆที่มารุกรานอิสราเอล แต่ในสมัยนี้ ศัตรูไม่ได้หมายถึงศัตรูในสงครามเท่านั้น แต่หมายถึงปัญหาที่จู่โจมเข้ามาในชีวิตคุณในรูปแบบต่างๆ ซึ่งคุณสามารถร้องขอพระเมตตาให้ช่วยคุณออกจากเงื้อมมือของปัญหาได้ บางคนคิดว่า ศัตรูเขาคือมารซาตานเท่านั้น แต่จริงๆแล้วไม่ใช่มารอย่างเดียว มันอาจเป็นเนื้อหนังตัวตนเก่าของคุณด้วย ที่ต่อต้านขัดขืนและปฎิเสธพระเจ้าที่ประทับอยู่ในตัวคุณ
(ข้อ 15-18) ดาวิดมั่นใจว่า คนชั่วต้องพินาศ คนยากจนจะไม่ถูกลืม และคนชั่วจะติดกับดักที่ตนเองทำขึ้น แต่คนที่ทุกข์ยากจะได้รับการจดจำและช่วยกู้จากพระเจ้า
(ข้อ 19-20) ดาวิดจบท้ายด้วยคำอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงพิพากษาโลก ขอให้พระเจ้าลุกขึ้นและให้ประชาชาติตะหนักว่าพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ที่จะต่อต้านพระเจ้าไม่ได้เลย
สรุปโลกอสที่ได้รับ ไม่ใช่เรม่าห์นะครับ โลกอสคือความเข้าใจกว้างๆเกี่ยวกับพระคัมภีร์ตอนนี้ ซึ่งก็คือ
ข้อแรก เมื่อคริสเตียนเผชิญความอยุติธรรม ให้วางใจว่าพระเจ้าทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม
ข้อ2️⃣ แม้คริสเตียนอาจถูกทอดทิ้งจากมนุษย์ แต่พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา
ข้อ3️⃣ อย่ากลัวคนชั่วที่ดูเหมือนเจริญรุ่งเรือง เพราะในที่สุดพวกเขาจะต้องพินาศและติดกับดักของแผนการตนเอง
ข้อ4️⃣ คริสเตียนควรสรรเสริญพระเจ้าเสมอ แม้ในยามทุกข์ยากลำบากก็ตาม แล้วจะได้เห็นการอัศจรรย์
ให้คุณหยุดชั่วขณะและอธิษฐานต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า พระองค์มีเรม่าห์พิเศษอะไรจะบอกคุณหรือไม่อย่างไร
สำหรับผม เรม่าห์ที่ได้รับคือ ผมประทับใจเป็นพิเศษกับพระคัมภีร์ข้อ 9 ที่กล่าวว่า พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนที่ถูกกดขี่ ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งในเวลายากลำบาก
ผมจึงเอาข้อ 9 นี้มาเป็นหัวข้อสนทนากับพระองค์ พระองค์หนุนใจผมว่า คนที่ถูกกดขี่จะไม่ได้รับความยุตริธรรม แต่พระเจ้าทรงยุติธรรม ตาชั่งของพระองค์เที่ยงตรงเสมอ และคนที่ได้ถูกกดขี่ข่มเหงจะมีที่กำลังเข้มแข็งก็คือพระเจ้า
และคนที่เผชิญหน้ากับความทุกข์ยากลำบาก ก็จะมีที่กำบังเข้มแข็งจากพระเจ้าด้วยเช่นกัน เมื่อเจ้ามาอยู่ในพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์ เจ้าก็จะได้เข้าอยู่ใต้กำบังที่เข้มแข็งของพระเจ้าแล้ว ดังนั้น ไม่ต้องหวาดกลัววิตกกังวลกับปัญหาใดๆหรือความทุกข์ยากลำบากใดๆในปลายยุคสุดท้ายนี้
แล้วพระองค์ก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง
ยอห์น 16:33 ที่กล่าวว่า เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง พระเยซูบอกว่า ในขณะที่เราอยู่ในโลกนี้ เราจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะประสบความทุกข์ยากลำบาก คือในบางจังหวะเวลาของชีวิต เราก็อาจพบเจอกับอุปสรรคปัญหาต่างๆมากมายในชีวิต คริสเตียนเราจึงไม่ควรปฎิเสธความจริงนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเราได้มาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ พระองค์จะทำให้เรามีสันติสุขและชื่นใจได้ในทุกสถานการณ์ได้ เพราะพระองค์ได้ชนะโลกแล้ว
ถึงตรงนี้ ผมก็อดถามพระวิญญาณไม่ได้ว่า การที่พระเยซูได้ชนะโลกแล้ว จะทำให้คริสเตียนเรามีสันติสุขและชื่นใจได้อย่างไร ดูเหมือนไม่เกี่ยวอะไรกับผม เพราะปัญหาและความทุกข์ยากลำบากของคริสเตียนก็ยังมีอยู่
แล้วผมก็สัมผัสได้ว่า พระวิญญาณยิ้มให้กับคำถามที่น่าขำของผม ซึ่งมันก็เป็นความจริงใช่มั๊ยครับ ผมเชื่อว่า มีหลายๆคนเวลาเผชิญหน้ากับปัญหาความทุกข์ยากลำบาก เช่น เจ็บป่วยร้ายแรง เป็นหนี้ก้อนโต ตกงาน ธุรกิจเจ๊ง หรือทะเลาะหย่าร้าง พวกเขาคงไม่สามารถชื่นใจได้กับการที่พระเยซูชนะโลกแล้ว เพราะพวกเขากำลังพ่ายแพ้อยู่ จริงมั๊ยครับพี่น้อง
แล้วพระวิญญาณก็สอนผมว่า
ประการแรก พระเยซูชนะโลก หมายถึงอะไร?
การที่พระเยซูตรัสว่า "เราได้ชนะโลกแล้ว" หมายความว่า พระองค์ได้มีชัยชนะ 3 อย่างคือ ชัยชนะเหนือบาป ชัยชนะเหนือความตาย และชัยชนะเหนือฤทธิ์อำนาจของมารซาตานแล้ว ทั้ง 3 สิ่งนี้ ล้วนเป็นรากเหง้าของความทุกข์ทั้งหมดในโลกนี้
ตรงนี้มีความแตกต่างจากความเชื่อของบางศาสนาที่กล่าวว่า ความทุกข์คือการไปยึดติดกับสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นอนิจจัง จึงทำให้เกิดทุกข์ ต้องฝึกจิตให้ปล่อยวางกับการยึดติดในตัวกูของกู แล้วก็จะดับทุกข์ได้
แต่วิธีดับทุกข์ของคริสเตียนนั้นแตกต่างกัน เราจะมีความสุขและชื่นใจได้ ก็เพราะความเชื่อ เราเชื่อว่า พระเยซูมีชัยชนะเหนือ 3 สิื่งแล้วคือ ชัยชนะเหนือบาป ชัยชนะเหนือความตาย และชัยชนะเหนือมารซาตาน ซึ่ง 3 สิ่งนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ของพวกเรา
พระเยซูชนะบาปอย่างไร → ก็โดยสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อเราเชื่อถึงจิตใต้สำนึกว่า เป็นการับโทษบาปแทนเรา ก็ทำให้เรามีทางออกจากความผิดบาปและได้คืนดีกับพระเจ้า พระเจ้าอภัยให้เราแล้ว เราจึงมีสันติสุขและชื่นใจได้
แล้วพระองค์ก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง
2 โครินธ์ 4:18 ที่ท่านเปาโลกล่าวว่า เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง นี่คือทัศนคติมายเซ็ตของคริสเตียนเรานะครับ แม้เราอาจจะยังประสบความทุกข์ยากลำบาก อาจจะยังเจ็บป่วยหนัก แม้จะยังเป็นหนี้ก้อนโต แม้จะทะเลาะหย่าร้าง เแต่พราะความสุขเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งของที่เรามองเห็น แต่ความสุขเรานั้นอยู่ในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งที่มองเห็นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นถาวรนิรันดร์ สิื่งที่มองไม่เห็นก็คือการรอดพ้นจากบาป รอดพ้นจากความตายฝ่ายวิญญาณที่จะถูกแยกห่างจากพระเจ้า และรอดพ้นจากการเบียดเบียนของมารซาตาาน ดังนัน้ เรามีสันติสุขและชื่นใจในชัยชนะของพระเยซู ก็เพราะเมื่อเราเชื่อพระเยซู เราก็ได้รับชัยชนะร่วมกับพระองค์ด้วย มันจึงทำให้เรามีสันติสุขและชื่นใจได้ท่ามกลางวิกฤตของปัญหาบนโลกนี้ครับ
การที่พระเยซูชนะความตาย → ก็โดยที่พระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งเมื่อเราเชื่อตรงนี้ และวางใจพระองค์ เราก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์ตามพระสัญญา เราจึงมีสันติสุขและชื่นใจที่ได้มีส่วนร่วมกับชัยชนะของพระองค์
การที่พระเยซูชนะมารซาตาานและอำนาจของโลก → ซึ่งหมายความว่าอำนาจของความมืดไม่สามารถเอาชนะความสว่าง คือพระประสงค์ของพระเจ้าได้ ต่อให้ในยุคนี้จะมี ai ที่ฉลาดล้ำมาครองโลก ก็ไม่สามารถเอาชนะพระประสงค์นิรันดร์ของพระเจ้าผู้สร้างเราได้ ดังนั้น เราจึงมีสันติสุขและชื่นใจที่ได้มีส่วนร่วมในชัยชนะของพระองค์
การที่พระเยซูชนะโลกแล้ว นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีปัญหาหรือไม่มีความทุกข์ยาก อย่าโลกสวยแบบเข้าใจผิดๆ หนทางของคริสเตียนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่หมายความว่า ปัญหาและความทุกข์ลำบากของเรา มันไม่มีอำนาจเหนือเราและควบคุมเราได้อีกต่อไป
ประการที่ 2. เราชื่นใจได้อย่างไรในเมื่อเรายังทุกข์ยากลำบาก?
พระเยซูไม่ได้บอกว่าเราจะไม่มีความทุกข์ แต่พระองค์บอกว่า เราจะมีสันติสุขและความชื่นใจ แม้อยู่ท่ามกลางความทุกข์ โดยไม่ต้องไปออกบวชถือศีลกินเจปฎิบัติธรรม เพราะอะไร ก็เพราะ
ข้อแรก เพราะแม้ในความทุกข์ยากลำบาก เราก็ยังมีความหวังในพระเจ้าเสมอ
แม้ว่าตอนนี้เราจะเจอปัญหาและความทุกข์ยากลำบากก็จริง แต่คุณต้องมั่นใจว่า คุณจะไม่ได้อยู่กับปัญหาตลอดไป พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย และพระองค์สัญญาว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์และได้รับบำเหน็จจากพระองค์ ดังที่ท่านเปาโลกล่าวว่า
โรม 8:18 – "ข้าพเจ้าเชื่อว่าความทุกข์ยากในปัจจุบันนี้ ไม่อาจเปรียบเทียบกับศักดิ์ศรีที่กำลังจะปรากฎแก่เรา"
ข้อสอง เพราะพระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่ง
เราอาจไม่เข้าใจเหตุผลของความทุกข์ยากลำบากในตอนนี้ แต่เราวางใจได้ว่าพระเจ้ายังคงควบคุมทุกสิ่งทุกสถานการณ์ และจะทรงนำเราไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ดังที่ท่านเปาโลกล่าวว่า
โรม 8:28 – "เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยให้เกิดผลดีแก่คนที่รักพระองค์"
ข้อสาม เพราะเรามีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยเสมอ
เราอาจต้องเจอปัญหาและความทุกข์ยากลำบาก แต่เราไม่ต้องเผชิญมันตามลำพัง พระเยซูสัญญาว่าจะอยู่กับเราเสมอ
มัทธิว 28:20 – "เราอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค"
สรุปเรม่าห์ที่ผมได้รับในการเฝ้าเดี่ยววันนี้คือ
ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าได้แม้ในขณะที่มีปัญหา ระหว่างกำลังมีปัญหา และหลังจากปัญหาหมดไป คือดาวิดสรรเสริญพระเจ้าได้ในทุกโอกาส
และสำหรับคริสเตียนเราในยุคนี้ เราก็ควรเลียนแบบดาวิดคือ สรรเสริญพระคุณความรักของพระเจ้า และะความยิ่งใหญ่ของพระองคืได้เสมอ
พระเยซูไม่ได้สัญญาว่าเราจะไม่มีปัญหา แต่พระองค์สัญญาว่าเราจะมีสันติสุขแม้ในปัญหา เพราะ
เรามีความหวังว่าพระเจ้าเตรียมสิ่งที่ดีกว่าให้เรา
เรามั่นใจว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่ง
เราไม่ต้องเผชิญปัญหาตามลำพัง พระองค์ทรงอยู่กับเรา
ดังนั้น แม้ว่าเรายังต้องเผชิญความทุกข์ยากในโลกนี้ แต่เราสามารถชื่นใจได้เพราะเรารู้ว่า พระเยซูชนะแล้ว และเราก็จะชนะร่วมกับพระองค์ในที่สุด
ถึงตรงนี้พระวิญญาณก็ทำให้ผมนึกได้ถึงตลอด 25 ปีที่ผ่านมาของผม มันก็เป้นความจริงตามที่พระองค์กล่าวทุกอย่างครับ ชีวิตผมก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายครั้งหลายหน ในด้านกายภาพ เดี๋ยวก้สุขสบายเดี๋ยวก็ทุกข์ยากลำบากสลับกันไป แต่ในด้านจิตวิญญาณภายใน ผมก็พบว่า พระเจ้าได้ทำให้ผมมีสันติสุขและมีความชื่นชมยินดีในชีวิตมากขึ้นทุกๆปี เพราะอะไรครับ มันก็เป็นเพราะผมมีความหวังว่า พระเจ้าจะเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ผม ความหวังทำให้มีกำลังใจที่จะเดินหน้าฝ่าฟันอุปสรรค์ปัญหาในชีวิต ความหวังเกิดจากความเชื่อศรัทธาวางใจพระเจ้า และความเชื่อศรัทธาวางใจพระเจ้าที่สม่ำเสมอต่อเนื่อง ก็เกิดจากการที่คุณยกย่องสรรเสริญความรักความเมตตาของพระเจ้า และความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระองค์เสมอทุกๆวันจนฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึกของคุณ และผมมีสันติสุขชื่นชมยินดีได้เสมอก็เพราะ ผมมันใจว่า พระเจ้าทรงมีพลังอำนาจไร้ขีดจำกัด สามารถควบคุมอยู่เหนือทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย พระองค์ก็ควบคุมได้หมดและควบคุมอยู่ ผมจึงไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลหวาดกลัวใดๆ และผมมั่นใจในการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ โดย่ทางพระวิญญาณที่ประทับอยู่ในตัวผมตลอดเวลา ดังนั้น นี่จึงทำให้จิตวิญญาณภายในของผมชื่นชมยินดีและมีสันติสุขได้ในทุกสถานการณ์ของชีวิต คุณจะเห็นว่า มันไม่เกี่ยวกับการมีทรัพย์สินเงินทองหรือมีสิ่งของมากมายในโลกนี้เลย สันติสุขและความชืนชมยินดีในพระเจ้า มันอยู่ที่ความเชื่อศรัทธาวางใจพระองค์อย่างเต็มเปี่ยมต่างหาก ซึ่งเกิดขึ้นได้โดยที่คุณยกย่องสรรเสริญความยิ่งใหญ่และพระเมตตาของพระองค์อยู่เสมอจนฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก แล้วคุณจะพบว่า จิตวิญญาณคุณจะค่อยๆถูกพระเจ้าเปลี่ยนไปอย่างอัศจรรย์ครับ นี่คือการอัศจรรย์จากภายในออกสู่ภายนอก ไม่ใช่การอัศจรรย์แบบมูเตลู อาเมนมั๊ยครับพี่น้อง
เอาหล่ะครับ มาร่วมสนุกกัน เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ คุณได้รับเรม่าห์อะไร ก็ให้เขียนคอมเม้นท์ลงในใต้คลิปนี้นะครรับ
คุณเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้แล้วหรือยัง ถึงความสำคัญของการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า? คุึณรู้หรือยังว่า การสรรเสริญและขอบพระคุณตลอดเวลา จะเป็นผลดีต่อจิตวิญญาณของคุณอย่างไรบ้าง? คุณรู้แล้วหรือยังว่า การอัศจรรย์จากภายในออกสู่ภายนอกคืออะไร? ต้องทำอย่างไรจึงจะเกิดการอัศจรรย์แบบนี้ขึ้นในชีวิตคุณ?
เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ ให้คุณหยุดและอธิษฐานขอพระวิญญาเปิดเผยสำแดงให้คุณได้รับรู้ แล้วพิมพ์คำตอบในคอมเม้นท์ใต้
พรุ่งนี้เราจะเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยกัน เพื่อจะรับการเปลี่ยนแปลงทัศนคติวิธีคิดมายเซ็ตใหม่ แล้วชีวิตคุณก็จะไม่ขาดการอัศจรรย์เลย คุณจะกลายเป็นท่อพระพรใหญ่สู่ผู้คนในวงกว้างมากมายได้ อาเมนมั๊ยพีน้อง ขอพระเจ้าอวยพร