🔥 **ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์ | สดุดี บทที่ 8** 🔥
🙌 สวัสดีครับพี่น้อง! คลิปนี้เป็นตอนที่ 8 ของซีรีส์ **"ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์"** วันนี้เราจะมาศึกษาพระคำจาก **สดุดี บทที่ 8** ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดาวิดสรรเสริญพระเจ้า แม้กำลังเผชิญกับศัตรูที่ไล่ล่า
📖 **สดุดี 8:1** _"ข้าแต่พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิตของพวกเรา ชื่อเสียงอันเกรียงไกรของพระองค์นั้น ดังกระฉ่อนไปทั่วโลก"_
✨ **เรม่าห์จากพระเจ้า:**
พระองค์ทรงยิ่งใหญ่เหนือทุกสิ่ง แม้ในยามที่เราต้องเผชิญปัญหา **อย่ามัวแต่มองความยิ่งใหญ่ของปัญหา แต่จงสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า!** 💪
🎶 เหมือนเปาโลกับสิลาสที่ถูกขังในคุก แต่เลือกที่จะสรรเสริญพระเจ้า แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น!
⚡ **คุณกำลังติด "คุก" อะไรอยู่?**
✅ คุกของหนี้สิน
✅ คุกของความเจ็บป่วย
✅ คุกของปัญหาชีวิต
👉 จงสรรเสริญพระเจ้าให้ดังกว่าเสียงของปัญหา แล้วคุณจะเห็น **การอัศจรรย์!** ✨
🔔 **อย่าลืมกดไลก์ กดแชร์ และติดตามช่องของเรา** เพื่อรับพระพรจากพระคำของพระเจ้า 🙏
#เฝ้าเดี่ยว #สดุดี8 #สรรเสริญพระเจ้า #ชีวิตอัศจรรย์ #พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ #พระคำให้พลัง #ความเชื่อทำให้เกิดปาฏิหาริย์
จัดทำคลิปโดย...คุณบิ๊ก
พันธกิจ...Big Miracle
Line ID....BigBig477
สวัสีดีครับพี่น้อง คลิปนี้เป็นบทที่ 8 ของซีรีย์ "ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์" ด้วยการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ สดุดี
สำหรับบทที่ 8 นี้ เป็นตอนที่ดาวิดสรรเสริญพระเจ้า ในขณะที่กำลังหลบหนีการไล่ฆ่าจากศัตรู ให้คุณเปิดอ่านพระคัมภีร์สดุดีบทนี้ไปด้วยนะครับ ผมจะสรุปดังนี้นะครับ
ในข้อ 1 ดาวิดกล่าวว่า พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิตของพวกเรา ชื่อเสียงอันเกรียงไกรของพระองค์นั้น ดังกระฉ่อนไปทั่วโลก ชื่อของพระองค์ ได้รับการยกย่องไปทั่วสวรรค์ชั้นฟ้า
ให้คุณหยุดชั่วขณะและอธิษฐานขอเรม่าห์พิเศษจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
สำหรับผม เรม่าห์ที่ได้รับคือ
พระวิญญาณทำให้ผมระลึกได้ถึง
โคโลสี 1:16-17 เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครองหรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์
และพระองค์ก็สอนผมว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่อยู่เหนือทุกสรรพสิ่งทั้งบนโลก ในสวรรค์ และจักรวาล ดังนั้น พระองค์ก็ยิ่งใหญ่เหนือปัญหาต่างๆในชีวิตของเจ้าด้วย ไม่ว่าเจ้าจะเจอกับสถานการณ์วิกฤตใดในชีวิต จงตระหนักเสมอว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่เหนือสถานการณ์เหล่านั้น พระเจ้าสามารถควบคุมได้ ไม่มีอะไรยากเกินไปกว่าที่พระองค์จะทรงควบคุมได้
ถึงตรงนี้ ผมก็นึกได้ถึงเหตุการณ์ในอดีตหลายๆครั้งที่ผ่านมา ตลอดชีวิตการเป็นคริสเตียน 25 ปีของผม ผมพบว่า เวลามีปัญหาจู่โจมเข้ามา เช่น ถูกเจ้าหนี้ขู่จะฟ้องยึดบ้านยึดรถ หรือมีคู่แข่งทางธุรกิจมีกลยุทธ์ใหม่ๆที่ทำให้ลูกค้าหันไปใช้บริการเขาแทน ทำให้ยอดขายผมหดหายไป หรือเวลาเจ็บป่วยนิดหน่อย ผมก็จะจินตนาการไปว่า อาจจะเป็นโรคร้ายแรงรักษาไม่หาย นี่แหละครับพี่น้อง เป็นตัวอย่างการยกย่องสรรเสริญปัญหาว่ามันใหญ่โต แล้วผลที่เกิดขึ้นคือ พระเจ้าในความคิดของผมก็เลยเล็กนิดเดียวไงหล่ะครับ และมันทำให้ผมยิ่งเครียด หวาดกลัววิตกกังวลกับปัญหาใหญ่โตนั้น แล้วความเชื่อวางใจพระเจ้าก็หายไป การอัศจรรย์มันก็ไม่เกิดขึ้นสิครับ เพราะพระเจ้ามักทำการอัศจรรย์ผ่านทางความเชื่อวางใจในพระองค์ของเรา ผมพบว่า ผมมักจะได้เห็นการอัศจรรย์ตอนไหนรู้มั๊ยครับ มันไม่ใช่ตอนที่กำลังอยู่ในสภาวะจิตตก หวาดกลัวเคร่งเครียด แต่การอัศจรรย์มักเกิดตอนที่สภาวะจิตมีความชื่นชมยินดีและมีสันติสุขในพระเจ้าครับ ซึ่งสภาวะจิตแบบนี้เกิดจากการที่สรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ไม่ใช่สรรเสริญความยิ่งใหญ่ของปัญหา จึงทำให้นอนหลับสบายได้ แล้วการอัศจรรย์จะเกิดในขณะที่หลับสบายไม่เครียดนี่แหละครับ
คุณจำเปาโลกับสิลาสได้มั๊ย เขาติดคุกและวันรุ่งขึ้นอาจถูกนำไปฆ่า เขาไม่ได้เฝ้าสรรเสริญปัญหา แต่เขาร้องเพลงสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ด้วยสภาวะจิตที่ไว้วางใจในความยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัดของพระเจ้า จึงทำให้เกิดการอัศจรรย์ผ่าทางตัน ปรากฎว่า พระเจ้าก็ทำให้รากคุกสั่นสะเทือนและประตูคุกก็เปิดออก พวกเขาก็เป็นอิสระ ดังนั้น ถ้าคุณกำลังติดคุกอะไรบางอย่าง เช่น คุกของหนี้สิน คุกของความเจ็บป่วย คุกของความสัมพันธ์ที่ร้าวฉาน อย่าเอาแต่เคร่งเครียดและสรรเสริญปัญหา คุณต้องเลียนแบบเปาโลและสิลาสคือ ร้องเพลงสรรเสริญความยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัดของพระเจ้าครับ ยิ่งสรรเสริญมากเท่าไหร่ ยิ่งจะเกิดการอัศจรรย์ผ่าทางตันให้เห็นครับ การร้องเพลงสรรเสริญเป็นวิธีหนึ่งในการประกาศความเชื่อว่า คุณเชื่อวางใจในฤทธิ์อำนาจการอัศจรรย์ของพระองค์มากกว่าฤทธิ์อำนาจของปัยหาที่คุณเจอ
ในข้อ 2 ดาวิดกล่าวว่า มีเสียงร้องสรรเสริญพระองค์ออกจากปากของเด็กอ่อนและเด็กทารก เด็กพวกนี้ร้องถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ เพื่อปิดปากพวกที่ต่อต้านพระองค์
ตรงนี้เรม่าห์ที่ผมได้รับคือ พระวิญญาณทำให้ผมปิ๊งแวบระลึกได้ถึง
1 โครินธ์ 1:27 แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย
แล้วพระองค์ก็สอนผมว่า การมาหาพระเจ้า จะต้องมาหาพระองค์ด้วยท่าทีเหมือนเด็กทารก ซึ่งหมายถึงว่า เจ้ายอมรับในความอ่อนแอของเจ้า และสรรเสริญความเข้มแข็งของพระองค์แทน ทาทีแบบนี้จะทำให้เจ้าได้เห็นการอัศจรรย์ผ่าทางตัน
ถึงตรงนี้ทำให้ผมนึกย้อนอดีตไปสมัยเป็นผู้เชื่อใหม่ ผมยังไม่เข้าใจเคล็ดลับนี้ เวลามีปัญหาวิกฤตใหญ่โต ผมไม่ได้มาหาพระเจ้าแบบเด็กทารก คือผมเคยเป็นวิศกรในโรงงานใหญ่ เคยพึ่งพาตัวเองในการแก้ปัญหาและประสบความสำเร็จสูง ได้เป็นผู้บริหารโรงงาน แล้วพอมาเป็นคริสเตียน นิสัยแบบนี้ก็ยังติดตัวอยู่ คือการพึ่งพาตัวเอง แต่พระคัมภีร์จะเน้นให้เรามาหาพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ เป็นเหมือนเด็กอ่อนเด็กทารกเลยครับ เด็กทารกมีสภาพคือ จะอ่อนแอมาก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ต้องพึ่งพาพ่อแม่อย่างเดียว ถ้าคุณเอาเด็กทารกไปวางไว้ใต้ต้นไม้ ไม่ถึงชั่วโมงเด็กอาจถูกมดกัดตายได้ เขาจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย นี่คือสภาพของเด็กอ่อนเด็กทารก
ดาวิดกล่าวว่า มีเสียงร้องสรรเสริญออกจากปากของเด็กอ่อนเด็กทารก หมายถึง เมื่อคุณร้องสรรเสริญพระเจ้า คุณต้องร้องด้วยความยกย่องในความยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัดของพระองค์จริงๆ ร้องออกมาจากความอ่อนแอของคุณ ร้องออกมาจากความเชื่อใสๆแบบเด็กทารกครับ
คุณรู้มั๊ยครับว่า เมื่อผมได้มาศึกษาค้นคว้าศาสตร์ด้านจิตใต้สำนึก มีงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทางจิตตีพิมพ์ไว้ว่า มนุษย์เราตอนเป็นเด็กทารกถึงอายุประมาณ 4-5 ขวบ เราจะไม่ได้ใช้จิตสำนึกใดๆ แต่เราจะทำสิ่งต่างๆไปแบบออโต้ไปตามจิตใต้สำนึกครับ จิตสำนึกเป็นตัวทำให้เราตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆด้วยเหตุผล เราจะคิดหาเหตุผลให้กับทุกสิ่งเสมอ เพื่อจะตัดสินใจเลือกทำหรือไม่ทำอะไร แต่ว่าจิตใต้สำนึกมันไม่มีเหตุผลเลยครับ มันจะทำงานแบบออโต้ เวลาเด็กทารกหิว เด็กจะร้องไห้อย่างเดียวเลย ไม่คิดถึงเหตุผลอะไร ไม่คิดว่ามีปัญหาหิวแล้ว ฉันแก้ปัญหาไม่ได้ พ่อแม่ฉันจะช่วยฉันได้มั๊ยนะ ฉันจะแก้ปัญหาความหิวได้อย่างไร เด็กทารกจะไม่มีความคิดแบบนี้เลยนะครับ เด็กทารกเมื่อหิว ก็จะร้องไห้อย่างเดียวเลย นี่เป็นพฤติกรรมออโต้ ออกมาจากจิตใต้สำนึก
ดังนั้น การร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าแบบเด็กทารก ก้คือร้องออกมาจากจิตใต้สำนึกที่ไม่ต้องคิดหาเหตุผลอะไรครับ คุณไม่ต้องคิดเหตุผลว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่แค่ไหน พระเจ้าจะช่วยคุณหรือไม่ คุณไม่ต้องคิดหาเหตุผลว่า ฉันดีพอที่พระเจ้าจะช่วยหรือไม่ คุณไม่ต้องคิดหาเหตุผลว่า พระเจ้าจะใช้วิธีไหนช่วยฉัน คือเปาโลกับสิลาสเขาติดคุกและกำลังเจอกับทางตันในชีวิต เขาไม่ได้เอาแต่นั่งคิดวิเคราะห์หาทางแก้ปัญหาใช่มั๊ยครับ แต่เขาเอาแต่ร้องเพลงสรรเสริญความยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัดของพระเจ้า และก็ไม่ได้มัวนั่งวิเคราะห์ว่า พระเจ้าจะทำให้ประตูคุกจะเปิดออกได้อย่างไร นี่คือเคล็ดลับการที่คุณจะได้เห็นการอัศจรรย์ผ่าทางตันครับ คุณต้องมีความเชื่อใสๆแบบเด็กเล็กๆที่อายุไม่ถึง 5 ขวบ ซึ่งขับเคลื่อนชีวิตด้วยจิตใต้สำนึกที่ไร้เหตุผล
ยังจำเปโตรเดินบนน้ำได้มั๊ยครับ เมื่อพระเยซูเรียกให้เขาเดินบนน้ำไปหาพระองค์ เปโตรก็มีความเชื่อใสๆแบบเด็กทารก เปโตรไม่ได้มัวคิดหาเหตุผล ไม่ได้คิดวิเคราะห์ว่า เขาน้ำหนักตัวเท่านี้ จะเดินบนน้ำได้หรือไม่ ไม่ได้คิดวิเคราะห์ว่า พระเจ้าจะทำให้เขาเดินบนน้ำได้อย่างไร ในสภาวะจิตตอนนี้ เปโตรไม่ได้คิดถึงเหตุผลเลยครับ เขาเชื่อในความไร้ขีดจำกัดของพระเจ้าอย่างเดียวเลย เป็นความเชือ่ใสๆแบบเด็กทารกที่ไม่คิดหาเหตุผล ผมเองเคยเป็นวิศกร ผมมักจะติดนิสัยคิดหาเหตุผลให้กับทุกเรื่อง แต่เมื่อคิดหาเหตุผลแล้ว การอัศจรรย์จึงเป็นหมันครับ เพราะอะไร
ก็เพราะการอัศจรรย์จากพระเจ้ามักจะอยู่เหนือเหตุผลครับ ตัวอย่างเช่น ประตูคุกเปิดออกให้เปาโลสิลาสเป็นอิสระ ก็ไม่มีเหตุผลอะไร มันก็แค่พระเจ้าไปทำให้รากคุกสั่นสะเทือน คือมันไม่มีเหตุผลเลยว่า ทำไมรากคุกจะต้องสั่นสะเทือนในเวลาที่พวกเขาติดคุกในคืนนั้นพอดี มันไร้เหตุผลมากๆ และตอนที่เปโตรเดินบนน้ำได้ ก็ไร้เหตุผลสิ้นดีเลยครับ เหตุผลคืออะไร เหตุผลคือ ถ้าเขาเดินบนน้ำ ด้วยน้ำหนักตัวของเขา และด้วยกฎแรงดึงดูดของโลก เขาจะต้องจมแน่นอน นี่คือเหตุผลครับ แต่การอัศจรรย์คือสิ่งที่เกิดขึ้นเหนือธรรมชาติ เหนือเหตุผลครับ ถ้าคุณพยายามคิดหาเหตุผล ในสถานการณ์ที่เป็นทางตัน มันยิ่งทำให้คุณหวาดกลัวเคร่งเครียดวิตกกังวล คือมันไม่ใช่เวลามานั่งคิดหาเหตุผล แต่มันเวลาที่ต้องใช้ความเชือวางใจในความไร้ขีดจำกัดเหนือธรรมชาติของพระเจ้า เชื่อใสๆแบบเด็กทารก แล้วคุณจะได้เห็นการอัศจรรย์เหนือความความคิดหรือเหนือเหตุผลครับ
แต่เพื่อให้สมดุล มันไม่ใช่ทุกสถานการณ์ที่เกิดกับคุณ จะไม่ต้องใช้เหตุผลนะครับ บางสถานการณ์คุณจะต้องใช้สติปัญญาในการขบคิดทางแก้ปัญหาด้วย กษัตริย์โซโลมอน และท่านยากอบจึงได้หนุนใจให้พวกเราอธิษฐานขอสติปัญญาจากพระเจ้าไงหล่ะครับ ไม่ใช่มัวใช้สติปัญญาตัวเองจนหน้าดำคร่ำเครียด ก็มันทางตันแล้วนี่ครับ คุณก็ต้องอธิษฐานขอสติปัญญาจากพระเจ้าสิครับ อาเมนมั๊ยพี่น้อง
แต่คุณรู้มั๊ยครัวว่า เมื่อคุณอธิษฐานขอสติปัญญา คุณก็จะได้เห็นการอัศจรรย์ด้วยเช่นกัน เพราะคุณะจะได้รับไอเดียแปลกใหม่ปิ๊งแวบขึ้นมาและเป็นไอเดียทำให้คุณหลุดออกจากปัญหาได้ ซึ่งไอเดียที่จู่ๆก็ปิ๊งแวบขึ้นมาเอง มันก็คือการอัศจรรย์ที่ไม่มีเหตุผลครับ
ตัวผมเองเคยคิดแก้ปัญหาบางอย่างที่เป็นทางตัน คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก แต่เมื่อร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าไปหลายๆรอบ และอธิษฐานขอสติปัญญาไปหลายวัน แล้วปรากฎว่า การอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นคือ จู่ๆมีวันหนึ่งที่เกิดไอเดียดีๆปิ๊งแวบขึ้นในหัวเอง นั่นก็เพราะพระเจ้าตอบคำอธิษฐานที่ผมขอสติปัญญา และพระองค์ก็ทำให้ผมปิ๊งแวบไอเดียดีๆผุดขึ้นมาเอง และมันเป็นไอเดียที่เอาไปแก้ปัญหาได้ แบบที่คาดไม่ถึงครับ นี่แหละครับ ถ้าคุณเจอทางตัน เจอกับปัญหาที่ใหญ่เกินกำลังความสามารถของคุณที่จะแก้ไขด้วยตัวเอง คุณต้องทำสมองแบงค์ๆให้ว่างเปล่าเหมือเด็กทารกก่อน ไม่ต้องพยายามเค้นสมองคิดหาเหตุผลใดๆ แล้วร้องเพลงสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าไปเรื่อยๆทั้งวัน อธิษฐานขอสติปัญญาไปด้วย เดี๋ยวคุณจะได้เห็นการอัศจรรย์ผ่าทางตันเองครับ ลองทำดูนะครับ
ในข้อ 3 เมื่อข้าพเจ้าแหงนดูฟ้าสวรรค์ที่นิ้วของพระองค์สร้างขึ้นมา รวมทั้งดวงจันทร์ และหมู่ดาวที่พระองค์ตั้งไว้ 4ข้าพเจ้าสงสัยว่า มนุษย์เป็นใครกันพระองค์ถึงห่วงใย มนุษย์เป็นใครกัน พระองค์ถึงเอาใจใส่นัก 5พระองค์สร้างเขาให้ด้อยกว่าพระเจ้าแค่นิดเดียวเท่านั้น พระองค์ได้สวมมงกุฎแห่งเกียรติและศักดิ์ศรีให้กับเขา 6พระองค์ตั้งเขาให้ครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น พระองค์วางทุกสิ่งทุกอย่างไว้ใต้เท้าของเขา 7เขาได้ครอบครอง ฝูงแกะ วัวควาย และพวกสัตว์ป่าในท้องทุ่งทั้งสิ้น 8รวมทั้งนกในท้องฟ้า ปลาและสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ที่แหวกว่ายไปมาในท้องทะเล
ตรงนี้คงเป็นตอนที่ดาวิดหลบหนีศัตรู และในยามค่ำคืน เขาคงนอนอยู่ในป่า ไม่ได้อยู่ในวังที่มีหลังคา และก็คงแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า มองเห็นดวงจันทร์ และหมู่ดาว ซึ่งสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่อัศจรย์ของพระเจ้า และทำให้เขาสงสัยว่า เหตุใดพระองค์จึงได้ห่วงใยมนุษย์ได้ มนุษย์เล็กกระจ้อยเหมือนฝุ่นในจักรวาลที่กว้างใหญ่ แต่พระองค์ก็ยังเอาใจใส่ดูแล ตั้งให้มนุษย์ครอบครองเหนือสิ่งทรงสร้างทุกสิ่งด้วย
เรม่าห์ที่ผมได้รับคือ
ตรงนี้พระวิญญาณสอนผมต่อไปว่า เวลาเผชิญหน้ากับปัญหาวิกฤตใหญ่โต เจ้ามักจะหลงลืมไปว่า พระเจ้าเป็นห่วงเจ้าอยู่ เจ้ามักคิดดูถูกตัวเองว่าไร้ค่า คงไม่ได้รับความสนใจหรือเอาใจใส่จากพระเจ้าผุ้ยิ่งใหญ่ผุ้สร้างโลกสร้างดวงจันทร์และสร้างจักรวาล แต่ดาวิดไม่ได้คิดแบบนั้น ดาวิดรู้ดีว่า แม้เขาจะดูเหมือนฝุ่นเล็กๆในจักรวาล แต่เขามีคุณค่ายิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า เพราะพระองคืทรงสร้างให้เขาครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่งที่ทรงสร้างบนโลกใบนี้
โอ้มายก๊อด ผมรู้ตัวแล้วว่า พระวิญญาณกำลังต้องการจะสื่ออะไรกับผม พี่น้องที่รัก คุณเคยเป็นไหม เวลาคุณอธิษฐานขอสิ่งใดต่อพระเจ้า คุณเคยรู้สึกว่าคุณอาจไม่ได้รับคำตอบ เพราะคุณยังไม่เป็นคนดีพอ ยังไม่คู่ควรที่จะได้รับ คุณรู้สึกเหมือนตัวเองก็เหมือนฝุ่นเล็กๆในจักรวาล เหมือนฝุ่นทีไ่ร้ค่า ไม่มีความหมายอะไรต่อพระเจ้า และคุณก็มักทำผิดบาปอยู่บ่อยๆ สารภาพแล้วสารภาพอีก แล้วก็กลับทำบาปซ้ำแล้วซ้ำอีก คุณรู้สึกว่าคุณไม่สมควรหรือไม่คู่ควรที่พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานของคุณ
พีน้องที่รักครับ นี่ก็คือการคิดหาเหตุผลอีกนั่นแหละครับ คุณคิดหาเหตุผลให้กับตัวเองว่า ทำไมพระเจ้ายังไม่ตอบคำอธิษฐานของคุณ เหตุผลก็คือ คุณคิดว่าตัวคุณต่ำต้อยไร้ค่า ไม่เป็นคนดีพอที่พระเจ้าจะตอบ นี่คือเหตุผลครับ การใช้สมองคิดเหตุผล จึงปิดกั้นการใช้ความเชื่อวางใจพระเจ้าแบบเด็กทารก ผมเองก็มักคิดหาเหตุผลว่า ทำไมพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานของผม และมันก็มักเป็นเหตุผลในแง่ลบอยู่บ่อยๆ ซึ่งขัดขวางความเชื่อวางใจในพระเจ้าอย่างสุดใจแบบเด็กทารกแล้วครับ แต่ถ้าคุณเป็นคนมีนิสัยชอบคิดหาเหตุผล ทางแก้คือ คุณก็ให้เหตุผลกับตัวเองในแง่บวกสิครับ เอาสิ่งที่พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับคุณว่า เหตุผลที่พระเจ้าจะตอบคุณคือ คุณได้รับการไถ่แล้ว พระเยซูรับบาปแทนคุณแล้ว และถ้าคุณเผลอทำบาป ก็สารภาพบาปอย่างจริงใจ แล้วพระองค์จะอภัยให้ตามพระสัญญา และอีกเหตผลที่พระเจ้าจะตอบคุณคือ พระคัมภีรืเขียนไว้ว่า คุณเป็นลูกสุดที่รักของพระองค์ พระองค์เอาใจใส่ถักทอคุณขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ผมทุกเส้นของคุณ พระองค์นับไว้หมดแล้ว
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง ถ้าคุณติดนิสัยชอบคิดหาเหตุผล ก็เอาเหตุผลในแง่บวกที่มาจากพระคัมภีร์มาตอกย้ำกับตัวเองสิครับ อย่าไปเอาเหตุผลของชาวโลกที่ไม่เชื่อพระเจ้า หรือเหตุผลจอมปลอมที่มาจากมารซาตาน เหตุผลที่มาจากพระคัมภีร์ก็จะทำให้คุณสามารถเชือ่วางใจพระเจ้าได้เหมือนะเด็กทารกไงหละครับ แบบที่ดาวิดแหงนมองท้องฟ้า แล้วเขาก็คิดหาเหตุผลว่า ทำไมพระเจ้าจึงเอาใจใส่และห่วงใยเขา นั่นก็เพราะพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ให้ต่ำกว่าพระองค์หน่อยเดียว และได้ให้มนุษย์ฉลาดที่สุดบนโลก สามารถปกครองทุกสิ่งที่พระองค์สร้างได้ นี่คือเหตุผลว่า ทำไม่เราจึงมีคุณค่าสูงสุดบนโลกใบนี้ ทำไมพระเจ้าจึงรักและหว่งใยเรา และพร้อมจะช่วยเหลือเราไงหล่ะครับ คุณไม่ได้เป็นฝุ่นที่ไร้ค่าในจักรวาล แต่คุณมีคุณค่ามีความหมาย มีความสำคัญยิงใหญ่ต่อพระเจ้า พระองค์มีแผนการดีเลิศยอดเยี่ยมสำหรับคุณ ดังนั้น นี่จึงสนับสนุนเพลงที่ชือ หนึ่งหมื่นเหตุผลที่จะสรรเสริญพระเจ้า เหตุผลที่เราควรสรรเสริญพระเจ้านั้น มีเป็นหมื่นๆเรื่องจากพระคัมภีร์ครับ ถ้าติดนิสัยชอบคิดหาเหตุผล และไม่สามารถทำสมองแบงๆแบบเด็กทารก ก็ให้คิดถึงเหตุผลในแง่บวกที่มาจากพระคัมภีร์แทนนะครับ แล้วคุณจะอยากสรรเสริยพระเจ้าอย่างสุดใจ ด้วยความเชื่อวางใจอย่างเต็มเปี่ยมเหมือนเด็กทารก แล้วคุณจะได้เห็นการอัศจรรย์ผ่าทางตันอย่างคาดไม่ถึงเลย อาเมนมั๊ยครับพี่น้อง
สรุปเรมาห์ที่ผมได้รับคือ การสรรเสริญพระเจ้าด้วยท่าทีไม่คิดมากเหมือนเด็กทารก จะทำให้เกิดอะไรกับชีวิตเราบ้าง
ข้อแรก สภาวะจิตในขณะยกย่องสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จะทำให้เราหายจากความหวาดกลัวจิตตกได้ครับ เป็นสภาวะจิตที่เต็มล้นไปด้วยความหวัง ไม่สิ้นหวังหดหู่ซึมเศร้าอยากตาย ถ้าเราเอาแต่จดจ่อกับปัญหา ปัญหาจะยิ่งขยายใหญ่โตขึ้นในจิตใต้สำนึกของเรา แต่ถ้าเราจดจ่อที่ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ปัญหาก็จะหดเล็กลงครับ เราจะมีสันติสุขนอนหลับสบาย
ข้อสอง การร้องเพลงสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จะทำให้เกิดความเชื่อศรัทธาและวางใจพระองค์เพิ่มพูนมากขึ้น ดังที่กล่าวไว้ในสดุดี 22:3 ทีดาวิดกล่าวว่า "พระองค์ทรงสถิตอยู่ท่ามกลางคำสรรเสริญของประชากรของพระองค์"
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง ปกติพระเจ้าก็สถิตอยู่ในผุ้เชื่อทุกคนอยุ่แล้ว แต่เราจะสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตชัดเจน เมื่อเราร้องเพลงสรรเสริญนมัสการพระองค์นะครับ แล้วเมื่อมีความเชื่อศรัทธาวางใจเต็มเปี่ยม พระเจาก็จะทำการอัศจรรย์ เปิดประตูโอกาสใหม่ๆอะไรบางอย่างเพื่อช่วยให้เราหลุดพ้นเป็นอิสระจากปัญหาได้อย่างคาดไม่ถึง เหมือนที่เปาโลและสิลาสสรรเสริญพระเจ้าในคุก และพระเจ้าทำให้ประตูคุกเปิดออก
ข้อสาม การร้องเพลงสรรเสริญ ทำให้เราใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น เชื่อมโยงให้เรามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระองค์มากยิ่งขึ้นไม่ใช่แค่ขอให้พระเจ้าช่วย แต่เป็นการเข้าหาพระองค์ด้วยความรักพระองค์ เชื่อวางใจในพระองค์ และพระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อเราสรรเสริญออกมาจากส่วนลึกที่สุดของหัวใจ คือสรรเสริญออกมาจากจิตวิญญาณของเรา
ดังที่ดาวิดกล่าวไว้ใน สดุดี 100:4 ว่า "จงเข้าประตูของพระองค์ด้วยการโมทนาพระคุณ และเข้าบริเวณพระนิเวศด้วยการสรรเสริญ"
เห็นมั๊ยครับีพีน้อง การเข้าประตูพระนิเวศเพื่อพบพระเจ้า จะต้องเข้าพบด้วยท่าทีของการสรรเสริญและขอบพระคุณเสมอนะครับ ให้จิตใจภายในของคุณเต็มเปี่ยมด้วยความสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและซาบซึ้งถึงพระคุณของพระองค์ตลอดเวลาทุกลมหายใจ จะทำได้อย่างไร ก็โดยการป้อนข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับการสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเข้าไปในจิตใต้สำนึกของคุณให้บ่อยๆที่สุด แล้วคุณจะสรรเสร้ิญและขอบพระคุณพระเจ้าได้ในทุกสถานการณ์แม้จะเป็นสถานการณ์ที่วิกฤตน่ากลัวเพียงไรก็ตาม เหมือนที่ดาวิดกำลังถูกไล่ฆ่าและอับจนหนทาง แต่เมื่อมองดูท้องฟ้า ก็ทำให้เขายังสรรเสริญพระเจ้าได้ และระลึกได้ถึงความเอาใจใส่ห่วงใยของพระเจ้าที่มีต่อเขาครับ ไม่เพียงสรรเสริญความยิง่ใหญ่ไร้ขีดจำกัดของพระเจ้า แต่ยังสรรเสริญพระคุณความรักความเมตตา เอาใจใส่และห่วงใยเรา เพราะเห็นคุณค่าในชีวิตของเราด้วย เมื่อเราร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า คุณกำลังยืนอยู่ในตำแหน่งใหม่ คือตำแหน่งที่เคยตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ มาเป็นตำแหน่งผู้ที่อยู่ภายใต้ฤทธิ์อำนาจและพระคุณความรักของพระองค์ แล้วการอัศจรรย์เหนือความคาดหมายก็จะเกิดขึ้นอย่างที่เรียกว่า ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ อาเมนมั๊ยครับพีน้อง
เอาหล่ะครับ มาร่วมสนุกกัน เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ คุณได้รับเรม่าห์อะไร ก็ให้เขียนคอมเม้นท์ลงในใต้คลิปนี้นะครับ
คุณเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้แล้วหรือยัง ถึงความสำคัญของการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า? คุึณรู้หรือยังว่า การสรรเสริญและขอบพระคุณตลอดเวลา จะเป็นผลดีต่อจิตวิญญาณของคุณอย่างไรบ้าง? คุณรู้แล้วหรือยังว่า การอัศจรรย์ผ่าทางตันเกิดขึ้นได้เพราะอะไร? ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ ให้คุณหยุดและอธิษฐานขอพระวิญญาเปิดเผยสำแดงให้คุณได้รับรู้ แล้วพิมพ์คำตอบในคอมเม้นท์ใต้
พรุ่งนี้เราจะเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยกัน เพื่อจะรับการเปลี่ยนแปลงทัศนคติวิธีคิดมายเซ็ตใหม่ แล้วชีวิตคุณก็จะไม่ขาดการอัศจรรย์เลย คุณจะกลายเป็นท่อพระพรใหญ่สู่ผู้คนในวงกว้างมากมายได้ อาเมนมั๊ยพีน้อง ขอพระเจ้าอวยพร