**ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์ ตอนที่ 5 | เฝ้าเดี่ยวจากสดุดี 5**
สวัสดีครับพี่น้อง คลิปนี้เป็นตอนที่ 5 ของซีรีส์ **"ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์"** โดยการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์สดุดี
🔥 **วันนี้เรามาศึกษาสดุดีบทที่ 5** ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของกษัตริย์ดาวิดที่ร้องขอการปกป้องจากพระเจ้า และเปิดเผยเคล็ดลับในการสร้างความเชื่อวางใจให้มั่นคง
✨ **ไฮไลท์สำคัญในคลิปนี้:**
✅ การเปลี่ยนคำอธิษฐาน ไม่อธิษฐานซ้ำซาก แต่รู้จักปรับเปลี่ยนตามการทรงนำ
✅ การตอกย้ำความเชื่อให้จิตใต้สำนึกได้ฟัง เพื่อขับไล่ความลังเลสงสัย
✅ การประกาศความเชื่อในพระลักษณะดีเลิศของพระเจ้าเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ
✅ ความสำคัญของการขอพระเจ้านำทางในเวลาที่เผชิญปัญหา
✅ พระเจ้าคุ้มครอง "คนที่รักพระองค์" หมายความว่าอย่างไร?
📖 คลิปนี้เต็มไปด้วย **เรม่าห์ (Rhema)** จากพระเจ้า ที่จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อของคุณให้มั่นคง!
📌 **หากคุณเพิ่งเข้ามาฟังเป็นครั้งแรก** ขอแนะนำให้ย้อนกลับไปฟังตั้งแต่ตอนแรก เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาได้ครบถ้วน
📢 **อย่าลืมกดไลก์ กดแชร์ และกดติดตาม** เพื่อไม่พลาดคลิปใหม่ๆ และร่วมเดินทางในเส้นทางแห่งความเชื่อไปด้วยกันครับ!
**#เฝ้าเดี่ยว #สดุดี5 #พระเจ้าทรงนำทาง #ความเชื่อที่มั่นคง #ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์**
จัดทำคลิปโดย ... คุณบิ๊ก
พันธกิจ... Big Miracle
Line ID...BigBig477
สวัสีดีครับพี่น้อง คลิปนี้เป็นตอนที่ 5 ของซีรีย์ ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์ ด้วยการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ สดุดี
ถ้าคุณพึ่งเข้ามาฟังครั้งแรก ขอแนะนำให้ย้อนกลับไปฟังคลิปก่อนหน้าตั้งแต่คลิปแรกสุด จะได้ต่อติดนะครับ
สำหรับตอนที่ 5 วันนี้ เราก็มาถึงบทที่ 5 เป็นตอนที่ดาวิดอธิษฐานขอการปกป้องคุ้มครองจากพระเจ้า ผมจะอ่านให้ฟังนะครับ
1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอเอียงพระโสตสดับถ้อยคำของข้าพระองค์ ขอทรงฟังเสียงคร่ำครวญของข้าพระองค์ 2ข้าแต่พระเจ้า พระมหากษัตริย์ของข้าพระองค์ ขอทรงฟังเสียงร้องทูลของข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์
ตรงนี้ เรม่าห์ที่ผมได้รับคือ คุณจะสังเกตุว่า ดาวิดไม่ได้อธิษฐานขอให้พระเจ้าขับไล่ศัตรูออกไปเหมือนบทก่อนหน้านะครับ แต่อธิษฐานขอให้พระเจ้าเงี่ยหูฟังคำอธิษฐานของเขา ดังนั้น เวลาคุณอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยให้หลุดพ้นปัญหาอะไรบางอย่าง วันต่อมา ควรเปลี่ยนคำอธิษฐานบ้าง อย่าอธิษฐานขอซ้ำซาก เหมือนดาวิดตอนนี้ เขาเปลี่ยนคำอธิษฐาน โดยอธิษฐานขอให้พระเจ้าเงี่ยหูฟังคำทูลขอของเขา
ใน3 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ยามเช้าพระองค์ทรงสดับเสียงข้าพระองค์ ยามเช้าข้าพระองค์เตรียมคำอธิษฐานแด่พระองค์ และเฝ้าคอยอยู่
ตรงนี้ เรม่าห์ที่ผมได้รับคือ ทุกๆเช้า ดาวิดจะตอกย้ำความเชื่อให้ตัวเองฟังว่า พระเจ้ากำลังฟังเสียงของเขาอยู่ เห็นมั๊ยครับพี่น้อง นี่คือการยืนยันเข้าไปในจิตใต้สำนึก มันจะช่วยขับไล่ความลังเลสงสัยออกไป เพราะในขณะที่คุณเฝ้ารอพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน แล้วเมื่อยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณอาจมักเผลอคิดไปว่า ทำไมพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานซักทีนะ หรือ พระเจ้ามีจริงหรือเปล่านะ ทำไมอธิษฐานแล้วอธิษฐานอีกไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น เจ้าความคิดลบๆนี่แหละครับ ที่คุณเผลอคิดด้วยสมองซีกซ้าย คือคิดมากด้วยเหตุผล มันเป็น fix mindset มันจึงไปปิดกั้นสมองซีกขวา ซึ่งทำงานแบบจินตนาการสร้างสรรค์ ที่เป็น growth mindset ดังนั้น กษัตริย์ดาวิดตื่นมาปั๊ปก็จะรีบพูดตอกย้ำกับตัวเองว่า พระเจ้ากำลังเงี่ยหูฟังคำอธิษฐานของเขาอยุ่ เห็นมั๊ยครับพี่น้อง นี่คือเคล็ดลับ คุณอย่าปล่อยให้ความคิดลบๆที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดของคุณ เต็มไปด้วยการคิดหาเหตุผล มาปิดกั้นความไร้ขีดจำกัดของพระเจ้า ถ้าคุณยอมปล่อยให้ความคิดลบๆผุดขึ้นมาตอนตื่นนอนใหม่ๆ ไม่รีบกำจัดออกไป มันจะขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆตลอดทั้งวัน แล้วก็จะทำให้คุณหดหู่ท้อแท้สิ้นหวังซึมเศร้าอยากตายครับ คุณต้องรีบสั่งขับไล่ความคิดลบๆหรืออารมณ์ลบๆออกไปโดยเร็ว แล้วรีบบอกตัวเองทันทีแบบดาวิดว่า พระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของฉันแล้ว และถึงแม้ยังไม่เห็นสัญญาณการตอบคำอธิษฐาน แต่ฉันเชื่อวางใจว่า พระเจ้ากำลังแอบดำเนินการอยู่เงียบๆลับๆ ฉันกำลังอยู่ในขบวนการหลุดพ้นจากปัญหาแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ให้คุณพูดตอกย้ำความเชื่อแบบนี้เข้าไปในจิตใต้สำนึกทุกๆเช้าตอนตื่นนอนใหม่ หรือตอนเคลิ้มๆก่อนนอนครับ เพื่อให้ความเชื่อวางใจพระเจ้าซึมลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึก แล้วคุณจะนอนหลับฝันดี ตื่นมาก็สดชื่น มีพลังกายพลังใจในการทำกิจกรรมต่างๆระหว่างวันไปตลอดทั้งวัน
ในข้อ4 ดาวิดกล่าวต่อไปว่า
พระองค์มิใช่พระเจ้าผู้ปีติยินดีในความอธรรม ความชั่วร้ายจะไม่อาศัยอยู่กับพระองค์ 5คนโอ้อวดจะยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ไม่ได้ พระองค์ทรงเกลียดชังผู้ทำความชั่วทุกคน 6พระองค์ทรงทำลายผู้ที่พูดมุสา
พระยาห์เวห์ทรงสะอิดสะเอียนผู้กระหายเลือดและคนหลอกลวง
ตรงนี้เรม่าห์ที่ผมาได้รับคือ คุณจะสังเกตุเห็นว่า ดาวิดตอกย้ำถึงอะไรอีกรู้มั๊ยครับ ในขณะที่เขาอธิษฐาน? ดาวิดตอกย้ำถึงพระลักษณะดีเลิศของพระเจ้าครับ เขาตอกย้ำความเชื่อวางใจให้ใครฟัง? ก็ให้ตัวเขาเองนั่นแหละฟังครับ เพื่อให้ความเชื่อวางใจนี้ จะฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก ดังนั้น เวลาคุณอธิษฐานขอสิ่งใด ไม่ใช่เอาแต่ขอ ๆๆๆ คุณควรประกาศความเชื่อควบคู่กันไปด้วย ประกาศความเชื่อในเรื่องอะไร ก็แบบที่ดาวิดทำ คือประกาศความเชื่อในพระลักษณะดีงามดีเลิศของพระเจ้า ในที่นี้ดาวิดกล่าวย้ำกับตัวเองว่า
พระเจ้าจะไม่สนับสนุนคนอธรรมหรือคนชั่ว เพราะพระองค์สะอิดสเอียนคนที่กระหายเลือด ซึ่งในบริบทนี้ก็หมายถึงศัตรูของดาวิดที่กบฎ
ดาวิดพูดตอกย้ำพระลักษณะดีงามดีเลิศของพระเจ้าเพื่อเขาจะได้มั่นใจว่า พระองค์อยู่ฝ่ายเดียวกับเขาครับ ซึ่งมันทำให้เขามีสันติสุขและมั่นใจว่าพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานของเขา
ดังนั้น ถ้าคุณมีศัตรูที่ชั่วร้าย คุณก็ควรเลียนแบบดาวิดคือ พูดตอกย้ำให้ตัวคุณเองฟังบ่อยๆว่า พระเจ้าจะไม่สนับสนุนคนชั่ว แต่จะฟังคำอธิษฐานของคนชอบธรรม นี่เป็นการสรรเสริญพระลักษณะดีงานดีเลิศของพระเจ้าครับ แต่ถ้าคุณเองเป็นฝ่ายชั่วซะเอง ก็อย่าพูดตอกย้ำว่าพระเจ้าจะสนับสนุนคุณนะครับ คุณต้องสารภาพบาปและกลับใจจากบาปก่อน แล้วจึงตอกย้ำถึงพระคุณความเมตตาที่พระองค์ทรงอภัยให้กับคนที่จิตใจฟกซ้ำและสำนึกผิด
ในข้อ 7 ดาวิดกล่าวต่อไปว่า แต่โดยความรักมั่นคงอันอุดมของพระองค์ ข้าพระองค์จะกราบลงตรงมายังพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์ ด้วยความยำเกรง
ตรงนี้เรม่าห์ที่ผมาได้รับคือ ดาวิดตอกย้ำพระลักษณะดีงานดีเลิศของพระเจ้าอีกข้อคือ พระองค์ไม่เพียงต่อต้านคนชั่ว ไม่เพียงฟังคำอธิษฐานของเขา แต่พระองค์ยังมีความรักมั่นคงอันอุดมให้แก่เขา เขาจึงนบนอบยำเกรงพระเจ้า และมั่นใจว่า พระเจ้าจะช่วยเขาแน่ครับ ดังนั้น เวลาคุณอธิษฐานขอสิ่งใดแล้วยังไม่ได้รับคำตอบ คุณก็ควรประกาศความเชื่อที่จะตอกย้ำให้ตัวคุณเองได้ฟังบ่อยๆ ประกาศความเชื่ออะไร ก็เชื่อว่า พระเจ้าทรงรักคุณด้วยความรักมั่นคงอันอุดมที่มีต่อคุณ คุณต้องให้จิตใต้สำนึกของคุณเชื่ออย่างจริงจังว่า พระเจ้ารักคุณจริงๆ เหมือนลูกที่มั่นใจว่า พ่อแม่รักเขา เขาก็จะไม่หวั่นไหวในปัญหาใดๆ คือบางครั้งเราเป็นลูกเราก็รู้ดีว่าตัวเรายังไม่เพอเฟค แต่พ่อแม่ก็รักเรา จริงมั๊ยครับ ? และพร้อมจะช่วยเราเมื่อเราทุกข์ยากลำบาก มันไม่ใช่ว่าเราจะต้องเป็นคนดีเลิศประเสริฐศรีก่อนแล้วพ่อแม่จึงจะรักเราและจะช่วยเรา จริงมั๊ยครับ? คือวันๆมนุษย์เราก็ทำบาปหลายพันครั้ง บางทีบาปทางความคิดเฉยๆก็มี วันๆไม่รู้คิดลบคิดบาปๆกีครั้ง ไม่มีใครบริสุทธิ์ร้อยเปอเซ็นหรอกครับ มีแต่พระเยซูคนเดียวเท่านั้น ดังนั้น และพระวิญญาณก็ไม่ได้เตือนคุณไปพันเรื่องหมื่นเรื่องที่คุณบาป พระองค์จะเตือนในบางเรื่องที่สำคัญกับชีวิตคุณ 2-3 เรื่องในขณะนั้นและต้องการให้คุณรับการเปลี่ยนแปลง และถ้าคุณสำนึกผิดและกลับใจ คุณก็กลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อในสวรรค์อีก นี่คือความมั่นใจในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา ไม่ใช่เราต้องดีเลิศประเสริฐศรีร้อยเปอร์เซ็นแล้วพระองค์จึงจะรักเรา แต่พระองค์รักเราแม้เราจะยังได้มีนิสัยดีอะไรนัก ขอแค่มีนิสัยหนึ่งที่สำคัญคือ ถ้าพลาดพลั้งทำบาปอะไรไป แล้วพระวิญญาณเตือน แล้วรู้ตัวและกลับใจ และอธิษฐานขอพระวิญญาณเสริมกำลังที่จะไม่ทำบาปนั้นซ้ำอีก แค่นี้พระองค์ก็พอใจแล้วครับ ก็เหมือนพ่อแม่ที่รักลูก หลายครั้งลูกก็ดื้อไม่เชื่อฟัง แต่พ่อแม่ก็ยังรักและห่วงใย ใช่มั๊ยครับพี่น้อง คุณตื่นเช้ามาต้องประกาศตอกย้ำความเชื่อนี้ให้ฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึกทุกวันนะครับ แต่ไม่ใช่อ้างเอาความรักของพระเจ้าเป็นใบเบิกทางที่จะทำบาป แต่หมายถึงคุณรู้ดีว่า คุณไม่สามารถเป็นคนเพอเฟคได้ด้วยตัวเอง แต่คุณต้องพึ่งพาพระคุณควมช่วยเหลือจากพระเจ้าในการเป็นคนดีต่างหาก ด้วยความมั่นใจในความรักของพระเจ้าที่มีต่อคุณครับ
จากนั้น ดาวิดอธิษฐานต่อไปใน 8 ว่า
ข้าแต่พระยาห์เวห์ เนื่องด้วยพวกศัตรูของข้าพระองค์นั้นมากมาย ขอทรงนำทางข้าพระองค์ไป ขอทรงให้ข้าพระองค์เดินในหนทางของพระองค์อย่างราบรื่น
ตรงนี้ดาวิดอธิษฐานขออะไรครับ ? ตรงนี้ดาวิดอธิษฐานขอการทรงนำครับ ขอพระเจ้านำทางให้เดินไปในหนทางที่ราบรื่น ในบริบทนี้ก็หมายถึง ดาวิดขอพระเจ้าบอกทางว่าจะหลบหนีไปทางซ้ายหรือทางขวา ไม่ใช่อธิษฐานแล้วก็นั่งเฉยๆ แต่ขอการนำทางด้วย ดังนั้น ถ้าคุณกำลังเจอกับทางตันของปัญหา ไม่รู้จะซ้ายหรือจะขวา อย่าเอาแต่อธิษฐานขอให้พระเจ้านำปัญหาออกไปจากคุณ แต่คุณต้องเลียนแบบดาวิด คืออธิษฐานขอให้พระเจ้าบอกคุณว่า คุณจะต้องทำอะไร? และทำอยา่งไร ? คือขอการนำทางครับ และเมื่อรู้แล้วก็อย่านั่งเฉยๆอย่างขี้เกียจหรือท้อแท้ แต่ให้รีบเคลื่อนไปตามการจัดเตรียมและการทรงนำนั้นครับ
ในข้อ 9 เพราะในปากของพวกเขาไม่มีความจริง จิตใจของพวกเขาคือการทำลาย ลำคอของพวกเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ พวกเขาประจบสอพลอด้วยลิ้น 10ข้าแต่พระเจ้า โปรดให้พวกเขารับกรรมชั่วของตน และให้ล้มลงด้วยความคิดเห็นของตนเอง
เพราะการละเมิดมากมายนั้น ขอทรงขับไล่พวกเขาไป เนื่องจากพวกเขาได้กบฏต่อพระองค์
ตรงนี้ดาวิดไม่ได้ขอให้เขาสามารถฆ่าศัตรูของเขาได้ แต่ขอให้พวกเขาล้มลงด้วยกรรมชั่วของพวกเขาเอง ตรงนี้คุณต้องเลียนแบบดาวิดคือ อย่าไปหาทางกำจัดหรือฆ่าศัตรูของคุณ แต่มอบให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินอย่างยุติธรรมเอง
ในข้อ 11 ดาวิดกล่าวต่อไปว่า แต่ให้ทุกคนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ยินดี ให้พวกเขาร้องเพลงด้วยความยินดีเป็นนิตย์ และขอทรงป้องกันพวกเขาไว้ เพื่อคนที่รักพระองค์จะปรีดาปราโมทย์ในพระองค์ 12ข้าแต่พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงอวยพรคนชอบธรรมพระองค์ทรงคุ้มครองพวกเขาไว้ด้วยความโปรดปราน
ให้คุณหยุดชั่วขณะและอธิษฐานต่อพระวิญญาณว่า ในข้อสุดท้ายข้อ 11และข้อ 12 นี้ พระองค์มีอะไรจะบอกคุณเป็นพิเศษหรือไม่อย่างไร
ตรงนี้ ดาวิดอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าปกป้องคุ้มครองคนที่รักพระองค์ให้ปลอดภัย คุ้มครองพวกเขาไว้ด้วยความโปรดปราน
สำหรับผม เรม่าห์ที่ได้รับคือ
มีคำว่า คนที่รักพระองค์จะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัย กระโดดขึ้นมาจากพระคัมภีร์ โดยเฉพาะคำว่า คนที่รักพระองค์ ผมจึงนำคำนี้มาเป็นหัวข้อสนทนากับพระองค์ครับ
คำว่า คนที่รักพระองค์ นี่แสดงว่า คือคนที่รักพระเจ้านะครับ ก็แสดงว่า อาจมีคริสเตียนที่ไม่รักพระเจ้า จริงมั๊ยครับ
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึงเหตการณ์สมัยที่ผมเป็นผู้เชื่อใหม่เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตอนนั้น ผมรับเชื่อเพราะต้องการพระเจ้าช่วยแก้ปัญหาหนี้สิน ถ้าคุณอยากรู้ คุณก็ไปค้นหารับฟังได้จากคำพยานชีวิตที่ผมทำคลิปแบ่งปันไว้ในซีรีย์ ทำไมผมเชื่อพระเจ้า ในยูทูปช่องนี้
ตอนนั้นผมไม่ได้รักพระเจ้าเลยครับ ผมแค่ต้องการให้พระเจ้าช่วยแก้ปัญหาวิกฤตใหญ่โตของผม ผมรับเชื่อและเข้าโบสถ์ไม่ใช่เพราะรักพระเจ้า และผมเชื่อว่า หลายๆคนที่มาหาพระเจ้า มารับเชื่อพระเยซู เป็นผู้เชื่อใหม่ และขยันไปโบสถ์ก็ไม่ใช่เพราะรักพระเจ้าหรอกครับ มีน้อยที่จะรักพระเจ้าตั้งแต่วันแรกที่อธิษฐานรับเชื่อพระเยซู เพราะอะไรครับ
ประการแรก ผุ้เชื่อใหม่ยังไม่ค่อยได้อ่านพระคัมภีร์ จึงยังไม่รู้จักและรู้ใจพระเจ้าไงหล่ะครับ ยังไม่รู้ว่าพระเจ้ามีพระลักษณะอย่างไร ผู้เชื่อใหม่หลายๆคนก็คิดแค่ว่า พระเจ้าก็เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล เขาจึงมาหาพระเจ้าแบบมูเตลู คือมาหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้ และไม่มีใครที่เป็นสายมู ไปหาเทพเจ้านั่นนี่โน่นด้วยความรักหรอกครับ จริงมั๊ยครับ
ประการที่สอง เมื่ออ่านพระคัมภีร์น้อย ผู้เชื่อใหม่จึงมีความเชื่อน้อยไงหละครับ เพราะความเชื่อเกิดจากการได้ยินได้ฟังพระวจนะ และเกิดจากการได้มีประสบการณ์ส่วนตัวที่พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเขา เขาจึงเริ่มมีความเชื่อไงหล่ะครับ ดังนั้น สเต็ปแรก ก็ต้องมีความเชื่อพระเจ้ามาก่อนความรักพระเจ้าครับ
ประการที่สาม แม้เขาจะมีความเชื่อแล้ว แต่อาจยังเคร่งเครียดวิตกกังวลกับปัญหา เพราะอะไรครับ ก็เหมือนเปโตรเชื่อพระเยซู เขาจึงเดินบนน้ำได้ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว พอลมมรสุมพายุพัดเข้ามาอย่างแรงกล้า เขาก็กลัว แล้วทำให้จมลงไปในน้ำ นี่แสดงถึงแม้มีความเชื่อยังไม่พอ ต้องมีสเต็ปสองคือ ต้องมีความไว้วางใจพระเจ้าด้วย ไม่ว่าสถานการณ์จะน่ากลัวแค่ไหน ก็วางใจในพระเจ้าเสมอ ไม่หวาดกลัววิตกกังวล ดังนั้น ความเชื่อพระเจ้าจะมาก่อนความวางใจพระเจ้า และมาก่อนความรักพระเจ้านะครับ
ประการที่สี่ เมื่อผู้เชื่อใหม่ได้มีประสบการณ์ทีพ่ระเจ้าตอบคำอธิษฐานหลายครั้ง ช่วยให้เขาก้าวผ่านวิกฤตในชีวิตไปได้ คราวนี้เขาก็จะเริ่มซาบซึ้งในพระคุณความรักของพระเจ้าแล้วครับ เขารู้ดีว่า แม้เขาจะยังไม่เพอเฟค แต่พระเจ้าก็ยังตอบคำอธิษฐานช่วยเขา นี่จึงทำให้เขาได้สัมผัสถึงความรักของพระเจ้าที่ไม่ใช่แค่คำพูดในพระคัมภีร์ แต่ได้มีประสบการณ์จริง เขาจึงเติบโตขึ้นในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเขา และทำให้เขาตอบสนองด้วยการรักพระเจ้ากลับคืนไปไงหล่ะครับ คล้ายๆเด็กเล็กๆเมื่อได้รับความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ ก็จะตอบสนองกลับด้วยการรักพ่อแม่โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีใครมาสั่งหรือบังคับให้รักพ่อแม่ จริงมั๊ยครับ
ดังนั้น ความรักพระเจ้าจึงมาทีหลังสุด คริสเตียนต้องมีประสบการณ์จริงทีทำให้เขาเชื่อศรัทธาในพระเจ้า และไว้วางใจความช่วยเหลือจากพระเจ้าก่อน เมื่อขึ้นบันไดสองขั้นนี้แล้ว จึงจะขึ้นบันไดขึ้นที่สามคือ รักพระเจ้าที่มองไม่เห็นได้ไงหล่ะครับ การเติบโตของคริสเตียนคือการ เติบโตในความรักพระเจ้า คือรักพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆทุกๆวัน จึงจะเรียกว่า เติบโตในความสัมพันธ์ครับ ถ้าคุณพยายามจะรักพระเจ้าโดยปราศจากความเชื่อและความวางใจพระเจ้า มันจะเป็ฯการฝืนตัวเองและไม่เป็นธรรมชาติครับ คุณต้องสัมผัสถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อคุณก่อน แล้วตอบสนองโดยรักพระองค์กลับคืน ซึ่งเป็นการขึ้นบันไดขั้นที่สามครับ
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง
1 ยอห์น 4:19 ที่เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง ที่เรารักพระเจ้า ไม่ใช่การพยายามจะทำตามคำสั่งให้รักพระเจ้า แต่เป็นเพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน พระองค์แสดงออกโดยส่งพระบุตรองค์เดียวมาตายอย่างทรมานที่กางเขนเพื่อแลกรับเอาบาปของเราไปไว้ที่พระองค์ ทั้งๆที่เรายังเป็นคนบาปคนไม่ดีอยู่เลย พระองค์ก็รักเราแล้ว และรักเราตลอดไป ดังนั้น คริสเตียนที่เข้าใจและซาบซึ้งในความรักของพระเจ้า ก็จะรักพระเจ้าตอบครับ คริสตจักรที่เข้มแข็ง ไม่ใช่เพราะเคร่งศาสนา แต่เพราะมีสมาชิกรักพระเจ้ามากต่างหากครับ คริสตจักรจะเติบโตได้ ไม่ใช่สอนแต่กฎศีลธรรมให้สมาชิกโฮลี่บริสุทธิ์ แต่ต้องำทให้สมาชิกรักพระเจ้าให้มากขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้ต้องช่วยให้สมาชิกรักพระเจ้ามากกว่าปีที่แล้ว ต้องโฟกัสไปที่จุดนี้ครับ บันไดขั้นแรกคือ ช่วยให้สมาชิกมีความเชื่อศรัทธามั่นคงในพระเจ้า บันไดขึ้นองคือ ช่วยให้สมาชิกมีความไว้วางใจในพระเจ้า บันไดขึ้นที่สามคือ ช่วยให้สมาชิกรักพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณทำบันไดสามขั้นนี้ได้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นครับ
พระวิญญาณทำให้ผมระลึกได้ถึง
ยอห์น 14:15 พระเยซูกล่าวว่า "ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านจะเชื่อฟังทำตามบัญญัติของเรา"
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง คุณจะสังเกตุได้ว่า ความรักมาก่อนการเชื่อฟังนะครับ พระเยซูไม่ได้บอกว่า จงเชื่อฟังเรา แล้วท่านจะรักเรา แต่ถ้าเรารักพระองค์ เราก็จะเชื่อฟังพระองค์โดยอัตโนมัติ ดังนั้น บันไดขั้นที่สามคือคุณรักพระเจ้า แล้วก็จะทำให้คุณขึ้นบันไดขั้นที่ 4 ได้คือ เชื่อฟังพระเจ้าครับ
หลายๆคริสตจักรพยายามสอนให้สมาชิกเชื่อฟังพระเจ้า อย่าทำบาป สอนว่าการเชื่อฟังจะทำให้ได้รับพระพร แต่มันไม่เวิร์คครับ ยิ่งคุณไปเน้นสอนให้สมาชิกเชื่อฟังทำตามกฎบัญญัติของพระเจ้า เขายิ่งเหน็ดเหนื่อยแบกภาระหนักของแอกศาสนาครับ คุณต้องสอนสมาชิกให้รักพระเจ้า ทำให้เขาเห็นว่า พระเจ้ารักเขามากแค่ไหนอย่างไร สอนให้สมาชิกขึ้นบันไดขั้นที่สามคือ ไม่ใช่แค่เชื่อ ไม่ใช่แค่วางใจ แต่ต้องรักพระเจ้า โดยไม่ใช่บังคับให้เขารักพระเจ้า แต่ทำให้เขาเห็นว่า พระเจ้ารักเขามากแค่ไหนเพียงไร พูดให้สมาชิกตระหนักถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเขาในทุกๆสัปดาห์ทีเ่ขาไปโบสถ์ ทำให้เขาเติบโตในความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า มีประสบการณ์ในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเขาให้มากๆ แล้วเขาจะขึ้นบันไดขั้นที่สี่ได้เองโดยไม่ฝืนเลย คือเขาก็จะเชื่อฟังพระเจ้าเองโดยอัตโนมัติครับ เหมือนลูกที่รู้ดีว่า พ่อแม่รักเขาเมาก ลูกคนนั้นจะเชื่อฟังและไม่ดื้อเลยครับ ลูกๆของผมก็เชือฟังผมไม่ดื้อเลย เพราะตอนเด็กๆ ทุกครั้งก่อนที่ผมจะอบรมสั่งสอนอะไรเขา ผมจะให้ความรักความอบอุ่นแก่เขาก่อน ทำให้เขาเชื่อวางใจในตัวผม และเขาจะตอบสนองต่อความรักของผมด้วยการรักผมตอบและเชื่อฟังผมเองโดยอัตโนมัติครับ ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าจะใช้ความกลัวการถูกลงโทษ มาทำให้ประชากรของพระองค์เชื่อฟังบัญญัติ แต่ในพันธสัญญาใหม่ พระเจ้าเปลี่ยนวิธีใหม่แล้ว คือพระองค์ใช้พระคุณความรัก คือให้ความรักก่อน แล้วจึงอบรมสั่งสอนฝึกวินัยครับ วิธีนี้ทำให้เราเชื่อฟังพระองค์อย่างเต็มใจมากกว่าการถูกบังคับให้เชื่อฟังด้วยกฎศาสนาครับ สรุปคือ การเติบโตของคริสเตียนคือ
บันไดขั้นแรก เชื่อศรัทธาในพระเจ้า
บันไดขั้นสองคือ วางใจพระเจ้า
บันไดขั้นสามคือ รักพระเจ้า
บันไดขึ้นสี่คือ ตอบสนองความรักของพระเจ้า ด้วยการรักและเชื่อฟังพระองค์กลับคืนครับ
นี่คือบันไดสี่ขึ้นในการเติบโตในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ซึ่งจะทำให้คุณเชื่อฟังทำตามโดยไม่แบกภาระหนักของแอกศาสนาเลย เมื่อคุณเติบโตมาถึงจุดที่รักพระเจ้ามากขึ้นทุกๆวันแล้ว คุณจะเชื่อฟังพระองค์ได้เองโดยไม่ฝืน และชีวิตคุณจะค่อยๆทำบาปน้อยลงและบริสุทธิ์ขึ้นเองโดยอัตโนมัติ จากความช่วยเหลือในทุกขั้นตอนโดยพระวิญญาณที่ประทับอยู่ในตัวคุณครับ อาเมนมั๊ยครับพี่น้อง
เอาหล่ะครับ มาร่วมสนุกกัน เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ คุณได้รับเรม่าห์อะไร ก็ให้เขียนคอมเม้นท์ลงในใต้คลิปนี้นะครรับ
คุณเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้แล้วหรือยัง ถึงวิธีอธิษฐานของดาวิด? คุณได้เข้าใจถึง บันได 4 ขั้นในการเติบโตในความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างลึกซึ้งแล้วหรือยัง? ลองทบทวนชีวิตตัวเอง ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในบันไดขั้นไหนของความสัมพันธ์กับพระเจ้า?
เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ ให้คุณหยุดและอธิษฐานขอพระวิญญาเปิดเผยสำแดงให้คุณได้รับรู้ แล้วพิมพ์คำตอบในคอมเม้นท์ใต้
พรุ่งนี้เราจะเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยกัน เพื่อเสริมสร้างความเชื่อ ความวางใจ และความรักพระเจ้าให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น แล้วชีวิตคุณจะไม่ขาดการอัศจรรย์เลย คุณจะเต็มล้นด้วยศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด เพื่อพระเจ้าจะใช้คุณไปเป็นท่อพระพรใหญ่สู่ผู้คนในวงกว้างมากมายได้ อาเมนมั๊ยพีน้อง ขอพระเจ้าอวยพร