🎥✨ **ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์ด้วยการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ สดุดี 23** ✨🎥
สวัสดีครับพี่น้อง! 🙌 วันนี้คุณอยู่กับซีรีย์เฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ สดุดี บทที่ 23 📖 บทที่เต็มไปด้วยพระสัญญาแห่งการเลี้ยงดูจากพระเจ้า 💖
💡 **ข้อ 1**: "พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน" 🐑
🌿 เราเป็นเหมือนแกะที่อ่อนแอและต้องการผู้นำทาง พระเยซูคือผู้เลี้ยงที่ดีที่ดูแล คุ้มครอง และนำเราสู่หนทางที่ถูกต้อง 🙏 (ยอห์น 10:11)
🔥 **เรม่าห์**: พระเยซูสละชีวิตเพื่อฝูงแกะของพระองค์ แล้วเรายังต้องกลัวอะไรอีก? เมื่อพระองค์อยู่กับเรา เราจะมีสันติสุขและไม่ขัดสน ❤️ (ฟีลิปปี 4:19)
💡 **ข้อ 2**: "พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ" 🌾💦
🙌 พระเจ้าจะพาเราไปยังที่ๆ เราจะได้รับการเลี้ยงดูทั้งฝ่ายกายและฝ่ายวิญญาณ แต่เราต้องวางใจและติดตามพระองค์ 🛤️
🔥 **เรม่าห์**: "จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านหายเหนื่อยเป็นสุข" (มัทธิว 11:28-29) ✨ พึ่งพาพระเจ้า แล้วท่านจะพบการพักสงบแท้จริง
💡 **ข้อ 3**: "พระองค์ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า..." 💖
📌 การเลี้ยงดูของพระเจ้าไม่ใช่แค่เรื่องกายภาพ แต่รวมถึงการฟื้นฟูจิตวิญญาณ ให้เรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ (ยอห์น 14:6)
🛤️ **สรุป**: พระเจ้าเลี้ยงดูเราอย่างเพียงพอ 🥖 ไม่ขัดสนสิ่งจำเป็น 🏡 แต่การอวยพรที่ล้นเหลือนั้น มีเงื่อนไขที่แตกต่างกันไปในพันธสัญญาใหม่ 📖
💬 **อยากรับฟังคำพยานเกี่ยวกับการเลี้ยงดูของพระเจ้า?** ทักมาได้ที่ไลน์ไอดี **bigbig477** 📲
#เฝ้าเดี่ยว #สดุดี23 #พระเจ้าทรงเลี้ยงดู #ชีวิตที่ไม่ขัดสน 🙏💖
จัดทำคลิปโดย.... คุณบิ๊ก
พันธกิจ...Big Miracle
Line ID...BigBig477
www.bigmiracle.org
สวัสดีครับพี่น้อง คุณกำลังอยู่ในซีรีย์" ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์ ด้วยการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ สดุดี คลิปนี้เป็นบทที่ 23 นะครับ
ในสดุดีบทที่ 23 เป็นบทที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ผมเองก็ภาวนาสดุดีบทนี้ตลอดทั้งวันทุกวัน ในช่วงที่ทุกข์ยากลำบากอับจนหนทาง จะอ่านช้าๆ และให้คุณใคร่ครวญตามไปด้วย พร้อมกับอธิษฐานขอเรม่าห์พิเศษจากพระองค์ไปทีละข้อนะครับ
ในข้อ 1 ดาวิดกล่าวว่า พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน
ในข้อนี้ โลกอสที่เป็นความเข้าใจกว้างๆของผมคือ ข้อนี้ดาวิดเปรียบเทียบให้เห็นภาพการเลี้ยงดูจากพระเจ้า คือพระเจ้าเป็นผู้เลี้ยงแกะ ส่วนเราเป็นแกะ แกะมีลักษณะคืออ่อนแอ ไม่มีเขี้ยวเล็บอะไรไปต่อสู้กับใครเลย ผู้เลี้ยงต้องปกป้องคุ้มครองจากหมาป่าหรือสัตว์ร้ายอื่นๆ คริสเตียนเราก็ต้องได้รับการปกป้องคุ้มครองจากพระเจ้าให้พ้นจากอันตราย และแกะหลงทางง่าย ต้องได้รับการนำทางจากผู้เลี้ยง คริสเตียนเราก็หลงทางง่าย ตรงนี้ไม่ใช่่เดินหลง แต่หมายถึงการตัดสินใจผิดพลาด ควรไปทางซ้ายก็ไปทางขวา หรือเดินหลงออกไปจากทางของพระเจ้าอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าเขาฟังเสียงพระเจ้า เหมือนแกะที่คอยฟังเสียงผู้เลี้ยง พระองค์จะช่วยนำทางให้ตัดสินใจถูกต้อง
เรม่าห์ที่ผมได้รับคือ พระวิญญาณทำให้ผมระลึกได้ถึง
ยอห์น 10:11 เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ
แล้วพระวิญญาณก็สอนผมว่า พระเยซูประกาศว่า พระองค์เป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี พระองค์ได้สละชีวิตของพระองค์บนกางเขน เพื่อเจ้าที่เปรียบเหมือนแกะของพระองค์จะได้รับความรอด นี่คือหัวใจของผู้เลี้ยงแกะ ดังนั้น ถ้าแม้แต่ชีวิต พระองค์ก็ยังสละได้ แล้วเจ้ายังจะต้องกลัวอะไรอีก เรม่าห์ทนี้ทำให้ผมรู้สึกมีสันติสุขลึกๆจริงๆ ความหวาดกลัวกับอนาคตที่ไม่แน่นอนก็สลายหายไปทันที เป็นความรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนมีพ่อแม่คอยดูแลด้วยความรักครับ คริสเตียนควรมีความรู้สึกเช่นนี้ แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ขัดสน ก็จะไม่รู้สึกขัดสน เพราะอะไร ? ก็เพราะเรามีผู้เลี้ยงที่ดีคือพระเยซูครับ
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง ฟีลิปปี 4:19 และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานทุกสิ่งที่จำเป็นแก่พวกท่านจากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในพระเยซูคริสต์
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง ท่านเปาโลยืนยันว่า พระเจ้าจะประทานทุกสิ่งที่จำเป็นแก่เรา จากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในพระเยซูคริสต์
ขณะนี้คุณเป็นผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เพราะคุณรับเชื่อและต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต ให้คุณอุ่นใจได้เลยว่า คุณจะไม่ขัดสน เพราะพระเจ้าจะเลี้ยงดูคุณตลอดไป
แต่ตรงนี้มีคริสเตียนหลายคนเข้าใจผิดคือ คุณอย่าไปคิดว่า การเลี้ยงดูคือการอวยพรนะครับ การเลี้ยงดูไม่ใช่การอวยพร การเลี้ยงดูหมายถึง คุณจะไม่ขัดสนสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น อาหาร เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และการดูแลรักษาสุขภาพ ถ้าคุณกำลังฟังคลิปนี้อยู่ แม้จะเป็นหนี้ก้อนโต แต่ก็ยังมีข้าวกิน มีที่นอนให้นอน มีเสื้อผ้าใส่อยู่ ก็แปลว่าคุณได้รับการเลี้ยงดูจากพระเจ้าแล้วครับ คุณไม่ขัดสนแล้ว แต่ส่วนการอวยพรหมายถึง การที่คุณมีอะไรมากเกินกว่าความจำเป็นจนล้นเหลือ เช่น มีเงินเก็บสำหรับซื้อข้าวกินได้หลายปี หรือมีเงินซื้อเสื้อผ้าแพงๆคุณภาพดีสวยงาม มีสุขภาพดีเยี่ยม มีสามีภรรยาดีเลิศ มีธุรกิจเจริญก้าวหน้าขยายใหญ่โต นี่คือการอวยพร เพราะการอวยพรจะมีล้นเหลือ ไม่ใช่แค่พอเพียงสำหรับความจำเป็น แต่การอวยพรจะมุ่งให้คุณแจกจ่ายแบ่งปันออกไปเป็นพรให้แก่คนอื่นได้ในวงกว้างครับ การอวยพรด้านกายภาพจะเป็นแบบนี้
อย่างไรก็ตาม คริสเตียนเราได้รับการอวยพรด้านฝ่ายวิญญาณเหมือนๆกันแล้วเมื่อเราอธิษฐานรับเชื่อในพระเยซู การอวยพรในมิติฝ่ายวิญญาณนานาประการที่คริสเตียนได้รับแล้วกันทุกคนมีถึง 30 กว่าข้อ ซึ่งพระเยซูนำมามอบให้แก่คุณ ตัวอย่างเช่น คุณได้รับความรอดบาปรอดจากการถูกพิพากษาลงนรกแล้ว คริสเตียนจะได้รับพระพรนี้เหมือนๆกันทุกคน และคุณได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้เป็นคนที่ถูกนับว่าชอบธรรม ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้มีพระวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาอาศัยอยู่ในตัวคุณ และอีกหลายๆข้อ เป็นการอวยพรในมิติฝ่ายวิญญาณที่คริสเตียนได้รับทุกคนแล้ว โดยทางความเชื่อในพระเยซู ดังนั้น ในด้านกายภาพ คุณอาจได้รับแค่การเลี้ยงดูเพียงพอกับสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต หรือบางคนได้รับการอวยพรอย่างล้นเหลือเพื่อแจกจ่ายคนอื่นได้ แต่ในด้านมิติฝ่ายวิญญาณ คริสเตียนทุกคนได้รับ 30 กว่าข้อแล้ว คุณไม่ใช่คนที่ขัดสนฝ่ายวิญญาณแล้ว พระเยซูนำมามอบให้คุณแล้วตั้งแต่วันที่คุณอธิษฐานรับเชื่อพระองค์ พระพรฝ่ายวิญญาณนานาประการ 30 กว่าข้อนั้น คุณรับเอาด้วยความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าและพระสัญญาของพระองค์ ซึ่งเป็นเหมือนเมล็ดที่ฝังเข้าไปในวิญญาณจิตของคุณ และเมื่อคุณทบทวนถ้อยคำพระเจ้าอยู่เรื่อยๆ เมล็ดความเชื่อนี้จะเติบโตขึ้นและส่งผลให้จิตวิญญาณของคุณเติบโต
พูดง่ายๆคือ คำว่า ไม่ขัดสน หมายถึง ในทางกายภาพ คุณจะมีเพียงพอสำหรับความจำเป็นที่เป็นปัจจัย 4 คุณจะไม่อดตายหรือเปลีอยกาย หรือเป็นคนไม่มีหลังคาคลุมร่างกายเวลานอน นี่คือคำว่าไม่ขัดสน แต่ไม่ได้หมายถึงคุณจะมีล้นเหลือ เพราะการมีล้นเหลือคือการได้รับการอวยพรครับ เช่น การมีจักรยานสำหรับปั่นไปทำงานที่ค่อนข้างไกล ก็เป็นปัจจัยสี่ คือการเลี้ยงดูตามความจำเป็น แต่การมีรถเก๋งขับอย่างสะดวกสบาย ก็เป็นการอวยพรครับ หรือการได้กินข้าวราดแกงร้านริมถนน ก็เป็นการเลี้ยงดูตามความจำเป็นไม่อดตาย ส่วนการได้พาลูกๆไปกินข้าวในภัตตราคารหรูอย่างเอร็ดอร่อยสนุกสนาน ก็เป็นการอวยพรล้นเหลือครับ นี่เป็นด้านกายภาพ คริสเตียนทุกคนได้รับการเลี้ยงดูไม่อดตายด้วยพระคุณของพระเจ้า แต่จะได้รับการอวยพรล้นเหลือเป็นพิเศษ ก็จะมีเงื่อนไขอยู่ครับ และเงื่อนไขการอวยพรของคนในพันธสัญญาเดิม ไม่เหมือนกับคนในพันธสัญญาใหม่นะครับ ผมจะกล่าวถึงเรื่องเงื่อนไขรับการอวยพรที่แตกต่างกันนี้ ในตอนท้ายๆคลิปนี้ครับ
ส่วนในด้านมิติฝ่ายวิญญาณ คุณและคริสเตียนทุกคนได้รับมาแล้วโดยความเชื่อพระเยซู 30 กว่าข้อ จิตวิญญาณของคุณไม่ขัดสนแห้งแล้งแล้ว ซึ่งผมเคยแบ่งปันไว้แล้วในยูทูปช่องนี้ ถ้าคุณอยากรู้ว่า 30 กว่าข้อทีเ่ป็นพระพรฝ่ายวิญญาณนานาประการมีอะไรบ้าง ก็ค้นหาได้ใน playlist ของยูทูปช่องนี้ครับ
พี่น้องที่รัก เวลาอ่านพระคัมภีร์ ขอแนะนำให้คุณมอง 2 ด้านไว้เสมอนะครับ คือด้่านแรก มองด้านกายภาพฝ่ายโลกที่ตามองเห็นได้ และด้านที่สองคือ ให้มองด้านฝ่ายวิญญาณที่ตามองไม่เห็นด้วยนะครับ อย่าเอาแต่มองด้านฝ่ายวัตถุที่ตามองเห็นได้อย่างเดียว ให้มองลึกเข้าไปในมิติด้านฝ่ายวิญญาณที่ตามองไม่เห็นด้วย คริสเตียนเราจะได้รับการเลี้ยงดูและได้รับการอวยพรใน 2 ด้านนี้พร้อมๆกันครับ แต่พระเจ้าจะเน้นการอวยพรด้านมิติฝ่ายวิญญาณมากกว่าด้านวัตถุภายนอก เพื่อไม่ให้เราหลงไหลไปกับค่านิยมแบบชาวโลกที่เป็นพวกวัตถุนิยม จนเสียผู้เสียคนครับ
คราวนี้ มาดูว่า พระเจ้าทรงเลี้ยงดูฝูงแกะอย่างไร ดาวิดกล่าวต่อไปในข้อ 2 ว่า
พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ
นี่คือวิธีเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าครับ ตรงนี้โลกอสที่เป็นความเข้าใจกว้างๆคือ ผู้เลี้ยงแกะที่ดี จะออกไปแสวงหาทุ่งหญ้าที่เขียวสดให้กับฝูงแกะก่อน ไม่ใช่ปล่อยให้ฝูงแกะไปหากินกันเอาเองนะครับ
คือสมัยนั้นไม่ได้มีการปลูกหญ้าเป็นอาชีพ แต่ผู้เลี้ยงแกะจะต้องไปเสาะหาทุ่งหญ้าตามธรรมชาติ ผู้เลี้ยงแกะจะไปทำสิ่งนี้ เพื่อจะได้นำฝูงแกะมายังทุ่งหญ้าเขียวสด และจะต้องมีแม่น้ำลำคลองด้วย เพื่อให้แกะได้กินหญ้าและได้กินน้ำ
ส่วนเรม่าห์ที่ผมาได้รับคือ มีคำว่า นอนลง กระโดดขึ้นมาจากหนังสือพระคัมภีร์ คำว่านอนลงให้ความหมายถึงการได้หยุดพักอย่างสบายๆนะครับ แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง
มัทธิว 11:28-29 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก
แล้วพระองค์ก็สอนผมว่า พระเยซูจะทำให้เจ้าที่เคยทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จะได้หายเหนื่อยเป็นสุข การเอาแอกของพระองค์แบกไว้ หมายถึง การที่เจ้าจะไม่พึ่งกำลังตัวเองฝ่ายเดียวอีกต่อไป แต่หันมาพึ่งพาพระองค์ร่วมด้วย เจ้าทำส่วนที่เจ้าพอทำได้ พระเจ้าจะช่วยทำส่วนที่เจ้าทำไม่ได้ แล้วเจ้าจึงจะหายเหนื่อยและเป็นสุข
ถึงตรงนี้ผมก็นึกได้ถึงเหตุการณ์ในอดีตตลอด 25 ปีที่ผ่านมาในการเป็นคริสเตียน จากเมื่อก่อนผมต้องดิ้นรนหาหนทางเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง แต่เมื่อผมอธิษฐานต้อนรับพระเยซู และมาเข้าสนิทกับพระองค์ เดินไปกับพระองค์ทุกๆวัน พระองค์ก็ได้ช่วยจัดเตรียมหนทางให้ผม คือพระองค์ทรงนำผมไปที่ๆมีทุ่งหญ้าเขียวสดและมีแม่น้ำไหลผ่าน ซึ่งจะทำให้ผมไม่ขัดสนขาดแคลนหรืออดตายเลย ตอนที่ผมธุรกิจเจ๊งและเป็นหนี้ก้อนโต ครอบครัวแตกแยก และผมกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวเลี้ยงลูกๆเล็กๆตามลำพัง 3 คน เป็นช่วงเวลาที่ผมมองเห็นการเลี้ยงดูจากพระเจ้าอย่างชัดเจนและอัศจรรย์ไม่มีวันลืม ซึ่งผมได้แบ่งปันคำพยานไว้แล้วในบางคลิปของการเฝ้าเดี่ยว ถ้ายังไม่เคยรับฟังว่าพระเจ้เลี้ยงดูผมอย่างไร ก็แอดไลน์ทักมานัดโทรคุยกันได้ที่ไลน์ไอดี bigbig477
จากประสบการณ์ที่ผมเคยได้รับการเลี้ยงดูจากพระเจ้ามาแล้ว ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจและไว้วางใจในพระเจ้ามากๆมาตลอดหลายปีของการเป็นคริสเตียน และถ้าอนาคตเกิดสงครามกันดารอาหาร คุณก็จะได้รับการเลี้ยงดูจากพระเจ้าเช่นกัน คือถ้าคุณเข้าสนิทคอยฟังเสียงของพระเจ้า พระองค์จะทรงนำคุณให้มีหนทางไม่อดตายแน่นอนครับ
แต่คุณก็ต้องทำส่วนที่คุณทำได้ด้วยนะครับ ไม่ใช่งอมืองอเท้า คือเมื่อผู้เลี้ยงแกะนำทางแกะไปยังสถานที่มีทุ่งหญ้าเขียนสดและมีแม่น้ำแล้ว พวกแกะมันก็ต้องใช้เท้าเดินไปนะครับ ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้เลี้ยงแกะอุ้มไปอีก คริสเตียนเราจะได้รับการเลี้ยงดูโดยพระเจ้านำทาง เช่น พระองค์ส่งโอกาสให้มีงานทำมีรายได้เข้ามา คุณก็ต้องขยันลงมือทำด้วย ไม่ใช่รอเงินหล่นจากท้องฟ้าลงมาตรงหน้า นี่เป็นวิธีเลี้ยงดูของพระเจ้า แต่อย่าพึ่งไปหวังว่าจะได้รับอวยพรร่ำรวยมั่งคั่งล้นเหลือจนมีชีวิตสะดวกสบาย เพราะการได้รับการอวยพรแบบคนในพันธสัญญาใหม่ จะมีเงื่อนไขหลายๆอย่างที่คุณต้องทำให้ได้ก่อนครับ ซึ่งแตกต่างกับคนในพันธสัญญาเดิม ผมจะพูดถึงในตอนท้ายๆบทนี้ครับ
จากนั้น ดาวิดกล่าวต่อไปอีกว่า
3พระองค์ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
ตรงนี้เรม่าห์ที่ผมได้รับคือ การเลี้ยงดูด้วยการนำทางไปทุ่งหญ้าเขียวสดของพระเจ้า ไม่ได้เพียงแค่เพื่อไม่ให้อดตาย แต่เพื่อฟื้นฟูจิตวิญญาณภายในของเราด้วยควบคู่กันไปนะครับ เราจะได้รับอาหารบำรุงเลี้ยงร่างกาย และได้รับอาหารฝ่ายวิญญาณบำรุงเลี้ยงจิตวิญญาณเราไปด้วยพร้อมๆกัน
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง ยอห์น 14:6 "พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะผ่านทางเรา’"
และพระองค์ก็สอนผมว่า พระเยซูเป็น หนทาง เป็นทางนั้น และเป็นชีวิตของผู้เชื่อ พระองค์จะนำทางให้เราได้มาถึงพระบิดา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของทรัพยากรทุกอย่างทั้งด้านกายภาพและด้านจิตวิญญาณ เมื่อคุณต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต คุณจะได้รับอาหารฝ่ายวิญญาณจากถ้อยคำของพระองค์ และทำให้จิตวิญญาณของคุณเติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็ม
แล้พระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง โรม 8:14 ที่กล่าวว่า "เพราะว่าคนทั้งปวงที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำ พวกเขาก็เป็นบุตรของพระเจ้า"
แล้วพระองค์ก็สอนผมว่า ไม่เพียงถ้อยคำจากพระเจ้าที่นำทาง แต่พระเจ้าก็ทรงนำบรรดาลูกๆของพระองค์ไปในทางที่ถูกต้อง โดยผ่านทางใครอีกครับ ? ก็โดยผ่านการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกด้วย คือเมื่อคุณอ่านพระคัมภีร์ที่เป็นถ้อยคำของพระเจ้าแล้ว คุณจะได้รับโลกอส และให้คุณอธิษฐานขอเรม่าห์พิเศษจากพระวิญญาณด้วย แล้วคุณจะได้รับเรม่าห์ ซึ่งจะเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณที่ทำให้คุณเติบโต คุณจะได้รับการหนุนใจ การเสริมสร้าง ได้รับสติปัญญาการนำทางโดยตรงจากพระเจ้าโดยผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ที่ประทับอยู่ในตัวคุณด้วยครับ เพื่อให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้ตามน้ำพระทัยดีเลิศของพระองค์
สรุปเรม่าห์จากข้อ 1-3 ที่ผมได้รับคือ
พระวิญญาณหนุนใจผมว่า ถ้าใครก็ตามที่อธิษฐานต้อนรับพระเยซูแล้ว เขาก็เป็นคนที่อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในพระสัญญาการเลี้ยงดูจากพระเจ้า และถ้าเขาเข้ามาใกล้ชิดพระองค์ คอยเงี่ยหูฟังเสียงของพระองค์เหมือนแกะที่คอยฟังเสียงของผู้เลี้ยง พระเจ้าก็จะทรงเลี้ยงดูผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์เสมอ จะไม่มีใครขัดสนถึงขั้นอดตาย พร้อมไปกับการเลี้ยงดูด้านจิตวิญญาณไปด้วย ร่ายกายเขาจะไม่หิวโหย จิตวิญญาณเขาจะไม่แห้งแล้ง นี่คือการเลี้ยงดูจากพระเจ้า
ส่วนการอวยพรนั้น ไม่ใช่การเลี้ยงดู การอวยพรคือการมีล้นเหลือมากกว่าความจำเป็น เพื่ออะไร ก็เพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถแจกจ่ายแบ่งปันไปสู่คนอื่นได้ สำหรับเงื่อนไขการอวยพรของคนในพันธสัญญาเดิมนั้น พวกเขาต้องเชื่อฟังธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัด ต้องท่องหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติและเลวีนิติให้ได้ และทำตามให้ได้ทุกข้อ เขาจึงจะได้รับการอวยพร มิฉะนั้นก็จะถูกลงโทษด้วยคำแช่งสาป นี่คือเงื่อนไขสำหรับชาวยิวในพันธสัญญาเดิมครับ
แต่การอวยพรในพันธสัญญาใหม่นั้น แตกต่างกันการอวยพรในพันธสัญญาเดิม คือในพันธสัญญาเดิม มักจะโฟกัสไปที่ความเจริญรุ่งเรืองด้านกายภาพ เช่น อับราฮัมมีฝูงแกะมากมาย โยเซฟได้เป็นนายกรัฐมนตรีของอียิปต์ ดาวิดได้เป็นกษัตริย์ โซโลมอนก็ร่ำรวยเงินทองมหาศาล นี่เป็นการอวยพรด้านวัตถุทางกายภาพฝ่ายโลกนะครับ ส่วนการอวยพรในพันธสัญญาใหม่นั้น จะโฟกัสไปที่พระพรนานาประการในมิติฝ่ายวิญญาณที่ตามองไม่เห็น ไม่ค่อยได้พูดถึงพระพรด้านวัตถุฝ่ายโลกที่ตามองเห็น
ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณมารับเชื่อเป็นคริสเตียน คุณจะได้รับพระพรนานาประการด้่านฝ่ายวิญญาณที่ตามองไม่เห็นทันที 30 กว่าข้อ เช่น คุณได้รับความรอดแล้ว คุณได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว คุณได้มีพระวิญญาณของพระเจ้ามาอยู่ในตัวคุณแล้ว คุณถูกสร้างใหม่หมดแล้ว คุณเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ทุกเมื่อโดยไม่มีผ้าม่านขวางกั้นแล้ว คุณได้เป็นพลเมืองของสวรรค์แล้ว และอีกมากมายที่ตามองไม่เห็นเพราะอยู่ในมิติฝ่ายวิญญาณ ซึ่งพระเยซูนำมามอบให้แก่คุณเปล่าๆฟรีๆ คุณไม่ได้ทำความดีอะไรเลย แต่คุณเชื่ออย่างจริงจังว่า พระเยซูได้รับโทษบาปแทนคุณแล้วบนกางเขน และได้แลกเปลี่ยนพระพรมากมายจากพระองค์มาตกที่คุณแล้ว นี่คือพระคุณที่ได้รับเปล่าๆโดยทางความเชื่อครับ แต่ยังไม่ได้หมายถึงพระพรฝ่ายโลกที่ตามองเห็นนะ
สำหรับคนในพันธสัญญาเดิม เขาจะได้รับพระพรนานาประการฝ่ายวิญญาณ 30 กว่าข้อดังกล่าว เขาจะต้องปฎิบัติด้วยตัวเขาเองคือ จะต้องเชื่อฟังทำตามธรรมบัญญัติ แล้วจึงจะได้รับ แต่คนในพันธสัญญาใหม่ เราได้รับโดยความเชื่อในกางเขนของพระเยซู เป็นการรับพระคุณเปล่าๆฟรีๆเพราะพระเยซูทำให้กับเราแล้ว
ส่วนพระพรด้านวัตถุที่ตามองเห็น คนในพันธสัญญาเดิมเขาก็ต้องรักษาธรรมบัญญัติให้ได้ก่อนจึงจะได้รับการอวยพร แต่พวกเราในพันธสัญญาใหม่ ไม่ใช่ว่าเราเคร่งครัดในธรรมบัญญัติแล้วจะได้รับการอวยพร เพราะไม่ใช่ต้องทำอะไรแลกเปลี่ยน แต่เราจะได้รับการอวยพรทางวัถตุ จะได้มาโดยความเชื่อกางเขนของพระเยซู และการดำเนินชีวิตตามการทรงนำของพระวิญญาณที่ประทับในตัวเราครับ คนในพันธสัญญาเดิม เขายังไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้ามาอาศัยในตัวเขา เขาจึงต้องพยายามเชื่อฟังธรรมบัญญัติ แต่คนในยุคพันธสัญญาใหม่ เรามีพระวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาอาศัยในตัวเราแล้ว เราจะได้รับการอวยพรเมื่อเราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ และไม่ตามเนื้อหนัง นี่คือความแตกต่างระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่
แล้วพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง ยอห์น 15:5-7 เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก
แล้วพระองค์ก็สอนผมว่า คนในพันธสัญญาเดิม เขาจะต้องเข้าสนิทกับธรรมบัญญัติ คือพยายามเชื่อฟัง รักษาบัญญัติให้ได้ จึงจะเกิดผลมากได้รับการอวยพร แต่คนในพันธสัญญาใหม่นั้น เงื่อนไขการได้รับพระพรแตกต่างกันคือ คนในพันธสัญญาใหม่ จะต้องเข้าสนิทกับพระเยซุให้มาก เพราะพระองค์เป็นเถาองุ่น เจ้าเป็นแขนง เจ้าต้องติดสนิทกับพระองค์เพื่อรับน้ำเลี้ยงจากพระองค์ แล้วเจ้าจึงจะเกิดผลมาก เกิดผลมากหมายถึงได้รับการอวยพรมากทั้งด้านฝ่ายโลกและฝ่ายวิญญาณ และการเข้าสนิทกับพระเยซูก็คือ การเข้าสนิทกับเรา เราเป็นวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในตัวเจ้า การเฝ้าเดี่ยวสนทนากับเราเป็นประจำให้บ่อยที่สุด ก็คือการเข้าสนิทในพระเยซู เพราะเราจะเปิดเผยสำแดงทุกสิ่งที่เป็นของพระบิดาและของพระเยซูให้เจ้ารู้ แล้วเจ้าก็ดำเนินชีวิตตามการทรงนำนั้น ทำแบบนี้ เจ้าจะได้รับสติปัญญา เจ้าจะได้รับการเสริมเรี่ยวแรงจากเรา แล้วเจ้าก็จะเกิดผลมาก คือประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ทำ ซึ่งก็คือได้รับการอวยพรนั่นเอง
โอ้มายก๊อด ไอซี พระองค์ทำให้ผม get กระจ่างมากขึ้น ผมก็เคยเข้าใจรางๆมาก่อนแล้ว แต่วันนี้พระวิญญาณทำให้ผม get มากขึ้นครับ เมื่อก่อนผมถูกสอนให้เชื่อฟังบัญญัติอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้รับการอวยพรล้นเหลือ ไม่ใช่แค่รับการเลี้ยงดูอย่างพอเพียงตามความจำเป็น ผมพยายามคร่ำเคร่งรักษากฎของคริสตจักรอย่างเคร่งครัด เช่น ไปโบสถ์สม่ำเสมอทุกวันอาทิตย์ ถวายสิบลดไม่ขาด เข้ากลุ่มเซลล์อย่างขมักเขม้น และรับใช้อย่างสัตย์ซื่อสุดกำลัง เพราะผมคิดว่า ทำแบบนี้เป็นการเชื่อฟัง แล้วจะได้รับการอวยพร แต่นี่คือมายเซ็ตของคนในพันธสัญญาเดิมครับ
แต่สำหรับคนในพันธสัญญาใหม่ นี่ไม่ใช่เงื่อนไขการได้รับการอวยพรเกิดผลมาก แต่เงื่อนไขคนในพันธสัญญาใหม่คือ การเข้าสนิทกับเถาองุ่น คือการใช้เวลาสนิทสนมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทับอยู่ในตัวเราครับ พระองค์จะทรงนำเราในการตัดสินใจเรื่องต่างๆได้อย่างถูกต้อง พระองค์จะทรงเสริมพลังเรี่ยวแรงให้เราคว้าโอกาสดีๆที่พระเจ้าส่งมาได้ พระองค์จะทรงทำให้กิจการงานที่เราทำเกิดผลเจริญรุ่งเรือง นี่คือการอวยพรฝ่ายโลก ส่วนการอวยพรฝ่ายวิญญาณนั้น พระองค์จะทำให้เรามีนิสัยใหม่ที่เป็นนิสัยแบบพระเจ้า เราจะเต็มล้นด้วยความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข และนิสัยดีๆต่างๆ 9 นิสัยที่เป็นผลของพระวิญญาณ ถ้าเป็นการรับใช้ พระองค์ก็จะอวยพรให้เรามีของประทานที่เหมาะสมกับบริบทวิถีชีวิตของเรา ทำให้เรารับใช้ได้อย่างเกิดผลมาก ส่วนการไปโบสถ์เข้ากลุ่มเซลล์สม่ำเสมอก็ยังควรทำนะครับ แต่ไม่ใช่เพื่อมุ่งหวังจะได้รับการอวยพร แต่ไปเพื่อจะได้สามัคคีธรรมกับพี่น้องคนอื่นๆ จะได้รับการหนุนใจและเสริมสร้าง และรับใช้กันและกัน และการถวายสิบลดก็ควรทำนะครับ แต่ไม่ใช่เพื่อมุ่งหวังจะได้รับการอวยพร แต่เพื่อจะได้สนับสนุนพันธกิจการขยายแผ่นดินพระเจ้า และการเฝ้าเดี่ยวต้องทำมั๊ย ยิ่งต้องทำใหญ่เลย เพราะการเฝ้าเดี่ยวคือการเข้าสนิทกับเถาองุ่น ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดผลมาก หมายถึงได้รับการอวยพรล้นเหลือไงหละครับ กุญแจที่จะได้รับการอวยพรเกิดผลมากของคนในยุคพันธสัญญาใหม่คือ การเข้าสนิทกับเถาองุ่นครับ ไม่ใช่การพยายามรักษาธรรมบัญญัติเหมือนคนในยุคพันธสัญญาเดิม
ดังนั้น ถ้าคุณไม่ต้องการเพียงแค่ได้รับการเลี้ยงดูปัจจัย4ไม่อดตาย คุณอยากได้รับการอวยพรล้นเหลืออย่างเกิดผลมาก คุณต้องขยันพัฒนาความสัมพันธ์ให้สนิทสนมกับพระวิญญาณให้มากที่สุด อ่านพระคัมภีร์พร้อมกับอธิษฐานขอเรม่าห์จากพระองค์เป็นประจำ แล้วทูลขอพลังจากพระองค์ในการดำเนินชีวิตตามเรม่าห์การทรงนำจากพระองค์ แบบนี้คุณจึงจะได้รับการอวยพรเกิดผลมากได้ครับ ซึ่งมักจะเริ่มจากการอวยพรข้างในตัวคุณก่อน คือคุณจะมีสุขภาพร่างกายที่ดี มีสุขภาพจิตดีขึ้น และมีจิตวิญญาณเติบโตเข้มแข็งในความสัมพันธ์กับพระเจ้า คุณจะได้รับพระพรในมิติฝ่ายวิญญาณที่ตามองไม่เห็นนี้ก่อน แล้วพระพรที่ตามมองไม่เห็นนี้ จะแปรเปลี่ยนเป็นพรพรฝ่ายวัตถุที่ตามองเห็นได้ในภายหลัง ดังนี้พระเยซูกล่าวไว้ใน
มัทธิว 6:33 แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง คริสเตียนในพันธสัญญาใหม่ต้องแสวงหาความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้าก่อน แล้วก็จะได้รับสิ่งทั้งปวงเพิ่มเติมให้ในภายหลัง ความหมายก็คือ แสวงหาพระพรฝ่ายวิญญาณที่ตามองไม่เห็นก่อน ด้วยการเข้าสนิทกับเถาองุ่น รับน้ำเลี้ยงจิตวิญญาณจากพระองค์ก่อน แล้วพระพรฝ่ายวิญญาณก็จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นพระพรฝ่ายวัตถุที่ตามองเห็นได้ในภายหลังเองครับ ถ้าคุณเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นประจำอยู่แล้ว หรืออย่างน้อยๆติดตามคลิปแบ่งปันเรม่าห์เฝ้าเดี่ยวของผมไปทุกๆวัน คุณก็กำลังแสวงหาพระพรฝ่ายวิญญาณด้วยการเข้าสนิทกับพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่แล้ว ขอแสดงความยินดี เพราะอีกไม่นาน พระพรฝ่ายวิญญาณที่ตามองไม่เห็น ก็จะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นพระพรฝ่ายวัตถุที่ตามองเห็นได้ในภายหลังครับ
พีน้องที่กั ถ้าคุณยังไม่เห็นว่ามีอะไรดีขึ้น ยังไม่เห็นเงินมากมายในบัญชีธนาคาร ยังไม่เห็นบ้านหลังใหญ่หรือรถสวยหรู ยังไม่เห็นชีวิตที่สะดวกสบาย ก้อย่าด่วนท้อใจ แต่ให้คุณโฟกัสมองย้อนกลับมาที่จิตวิญญาณภายในของคุณก่อนครับ ถ้าคุณเริ่มมองเห็นตัวเองว่า คุณมีความรักพระเจ้ามากขึ้น รักเพื่อนบ้านมากขึ้น คุณมีความชื่นชมยินดีกับทุกสิ่งมากขึ้น แม้จะยังไม่ได้มีอะไรทำให้ร่างกายสะดวกสบายขึ้นก็ตาม แต่คุณยังร่าเริงสนุกสนานกับชีวิตได้ ไม่ซึมเศร้าอยากตาย นี่ก็คือการได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณที่ตามองไม่เห็นครับ หรือถ้าคุณมีสันติสุขมากขึ้น แม้จะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่น่ากลัว แต่คุณก็ไม่หวาดกลัววิตกกังวล นี่ก็คือการได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณที่ตามองไม่เห็นครับ หรือถ้าคุณเป็นคนไม่ค่อยมีวินัย ควบคุมใจตัวเองไม่ค่อยได้ แต่เดี๋ยวนี้คุณรู้สึกว่าตัวเองควบคุมใจตัวเองได้มากขึ้น มีวินัยมากขึ้น ขยันขันแข็งมากขึ้น นี่ก็คือการได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณที่ตามองไม่เห็นครับ หรือถ้าคุณมักคิดไอเดียดีๆอะไรไม่ค่อยออก แต่เดี๋ยวนี้มักปิ๊งแวบไอเดียดีๆบ่อยๆ ทั้งในการทำงานและการรับใช้พระเจ้า นี่ก็คือการได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณที่ตามองไม่เห็นครับ
ดังนั้น ถ้าคุณยังมองไม่เห็นยอดขายเพิ่มขึ้น ตัวเลขเงินในบัญชีธนาคารเพิ่มขึ้น หรือมองไม่เห็นว่าจะปลดหนี้ก้อนโตได้อย่างไร ได้แต่ผ่อนไปเรื่อยๆ ยังไม่มีบ้านของตัวเอง หรือยังไม่มีรถเก๋งขับขี่อย่างสะดวกสบาย ยังมีรายได้แค่ปริ่มๆพอเลี้ยงชีพไม่อดตาย คุณก็อย่าท้อแท้ท้อถอย อย่าซึมเศร้าอยากตาย แต่ให้คุณมองย้อนกลับมาที่จิตวิญญาณภายในของคุณนะครับ เพราะการอวยพรจากพระเจ้าในพันธสัญญาใหม่นั้น มักเริ่มต้นจากภายในก่อน แล้วจึงค่อยขยายผลออกไปสู่ภายนอก เมื่อคุณเข้าสนิทรับน้ำเลี้ยงจากเถาองุ่นไปเรื่อยๆ คือใช้เวลาเฝ้าเดี่ยวพัฒนาความสัมพันธ์สนิทสนมลึกซึ้งกับพระวิญญาณในตัวคุณไปทุกๆวัน คุณจะได้รับการอวยพรด้านจิตวิญญาณเติบโตเข้มแข็งขึ้น คุณจะได้รับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยและทัศนคติ คุณจะได้รับในสิ่งที่ตามองไม่เห็นแต่กำลังเติบโตเกิดผลมากจากภายในตัวคุณ ซึ่งมันจะนำไปสู่พระพรภายนอกตัวในภายหลังครับ เมื่อผมเข้าใจการเป็นคนในพันธสัญญาใหม่แบบนี้แล้ว แม้ธุรกิจการงานจะยังไม่เจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งก็ตาม แต่ผมก็หายจากความท้อแท้ท้อถอยซึมเศร้าเลยครับ ผมหันมามุ่งเน้นโฟกัสที่การใช้เวลาพัฒนาความสัมพันธ์อย่างเป็นส่วนตัวกับพระเจ้าโดยทางพระวิญญาณให้มากที่สุด แล้วก็จะเช็คตัวเองไปทุกๆวันว่า ผมได้รับการอวยพรด้านฝ่ายวิญญาณให้เติบโตขึ้นในเรื่องใดแล้วบ้าง ผมจะโฟกัสมองตรงนี้แบบที่พระเจ้ามองผมครับ ถ้าคุณเอาแต่จดจ่อกับพระพรฝ่ายวัตถุ โดยไม่ได้มองพระพรฝ่ายวิญญาณเลย คุณจะซึมเศร้าอยากตาย เพราะคุณกำลังคิดแบบชาวโลกและมีมายเซ็ตแบบชาวโลก แต่ถ้าคุณคิดและมีมายเซ็ตแบบคนในพันธสัญญาใหม่ คุณจะโฟกัสที่พระพรฝ่ายวิญญาณภายในก่อน แล้วพระพรฝ่ายโลกภายนอก พระเจ้าก็จะเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้ภายหลังเอง อาเมนมั๊ยครับพีน่้อง
เอาหล่ะครับ สำหรับสดุดีบทที่ 23 นี้ ขอจบแค่นี้ก่อน เพราะหมดเวลาแล้ว แต่ผมได้รับเรม่าห์พิเศษมากมายในข้ออื่นๆอีก ซึ่งจะมาต่อในการเฝ้าเดี่ยวันถัดไปนะครับ
ถึงตรงนี้มาร่วมสนุกกัน เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ คุณได้รับเรม่าห์อะไร ก็ให้เขียนคอมเม้นท์ลงในใต้คลิปนี้นะครรับ
คุณเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้แล้วหรือยังว่า การเลี้ยงดูอย่างไมขัดสนจากพระเจ้า คืออะไร? หมายถึงอะไร? และการได้รับการอวยพรของคนในพันธสัญญาเดิม กับคนในพันธสัญญาใหม่ มีเงื่อนไขแตกต่างกันตรงไหนอย่างไร? พระพรด้านฝ่ายวัตถุที่ตามองเห็น แตกต่างกับพระพรฝ่ายวิญญาณที่ตามองไม่เห็นอย่างไร? อะไรต้องมาก่อนและมาทีหลัง? ระหว่างพระพรฝ่ายวัตถุกับฝ่ายวิญญาณ? ว
พรุ่งนี้เราจะเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยกัน เพื่อจะเรียนรู้วิธีรับการอวยพรจากพระเจ้า ในแบบคนพันธสัญญาใหม่ แล้วชีวิตคุณจะไม่ขาดกัศจรรย์เลย คุณจะกลายเป็นท่อพระพรใหญ่สู่ผู้คนในวงกว้างมากมายได้ อาเมนมั๊ยพีน้อง ขอพระเจ้าอวยพร