สวัสดีครับพี่น้อง! 🙌✨ นี่คือบทที่ 17 ในซีรีย์ **"ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์"** 🎉 เราจะมาเฝ้าเดี่ยวและศึกษาพระคัมภีร์ด้วยกัน 📖💡
**สดุดี 17** เป็นบทเพลงที่ดาวิดอธิษฐานขอความยุติธรรม ⚖️ และการปกป้องจากพระเจ้า 🛡️ ท้ายที่สุด เขาแสดงความมั่นใจว่าพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของเขา 🎯
📖 **ประเด็นสำคัญที่เราจะเรียนรู้:**
✅ **อธิษฐานด้วยใจบริสุทธิ์** - ไม่ต้องใช้คำพูดมากมาย แต่ให้สัตย์ซื่อและจริงใจ 🗣️❤️ (*มัทธิว 6:7-8*)
✅ **ความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงฟัง** - พระองค์ทรงใกล้ชิดผู้ที่ร้องทูลด้วยใจจริง (*สดุดี 145:18*) 🙏✨
✅ **เราเป็นดั่งแก้วตาของพระเจ้า** - พระองค์จะทรงปกป้องเรา (*เฉลยธรรมบัญญัติ 32:10*) 👀💖
✅ **สัมผัสพระเจ้าในทุกช่วงเวลา** - ยามหลับหรือยามตื่น เราจะอิ่มเอิบในพระลักษณะของพระองค์ (*สดุดี 17:15*) 🌅💡
💬 **มาร่วมเฝ้าเดี่ยวและรับพระวจนะของพระเจ้าด้วยกันนะครับ!** อาเมน! 🙌🔥
📌 **กดไลก์ ❤️ แชร์ 📤 และติดตามช่องของเรา** เพื่อรับพระพรจากพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง!
#สดุดี #อธิษฐาน #เฝ้าเดี่ยว #พระวจนะ #ชีวิตคริสเตียน #ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์ #พระเจ้าอวยพร 🙏✨
จัดทำคลิปโดย.... คุณบิ๊ก
พันธกิจ...Big Miracle
Line ID...BigBig477
www.bigmiracle.org
สวัสีดีครับพี่น้อง คลิปนี้เป็นบทที่ 17 ของซีรีย์ "ก้าวสู่ชีวิตอัศจรรย์" ด้วยการเฝ้าเดี่ยวจากพระคัมภีร์ สดุดี
ในสดุดีบทที่ 17 นี้ เป็นบทเพลงที่ดาวิดอธิษฐานทูลขอความยุติธรรมและการปกป้องจากพระเจ้า" และจบลงด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานของเขา
ผมจะอ่านช้าๆไปทีละข้อ แล้วคุณก็ใคร่ครวญตามไปด้วยนะครับ
(ข้อ 1-2) 1ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสดับความฝ่ายยุติธรรม ทรงฟังคำร้องทูลของข้าพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังคำอธิษฐานจากริมฝีปาก ที่ไม่มีอุบายหลอกลวงของข้าพระองค์ 2ขอให้การชนะความของข้าพระองค์มาจากพระองค์ ขอพระเนตรของพระองค์ทรงเห็นสิ่งเที่ยงธรรม
ใน 2 ข้อนี้ ดาวิดเริ่มต้นด้วยการขอให้พระเจ้าทรงเงี่ยหูฟังคำอธิษฐานของเขา เพราะเขามีความบริสุทธิ์ใจและไม่ได้พูดจาด้วยอุบายหลอกลวง
ถึงตรงนี้ ให้คุณหยุดชั่วขณะและอธิษฐานขอเรม่าห์พิเศษจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์มีอะไรจะบอกคุณเป็นพิเศษหรือไม่อย่างไร สำหรับผม เรม่าห์ที่ผมได้รับคือ พระวิญญาณทำให้ผมปิ๊งแวบระลึกได้ถึง
มัทธิว 6:7-8 ที่พระเยซูสอนสาวกไว้ว่า: "เมื่อพวกท่านอธิษฐานขอสิ่งใด อย่าพูดมากเหมือนพวกคนต่างชาติ เพราะเขาคิดว่า ถ้าพูดมากๆหน่อย พระเจ้าก็จะรับฟัง อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะว่าพระบิดาของพวกท่าน ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการสิ่งใด ก่อนที่ท่านจะทูลขอ"
แล้วพระองค์ก็สอนผมว่า ดาวิดเริ่มต้นอธิษฐานด้วยการขอให้พระเจ้าเงี่ยหูฟัง เพราะเขามีความบริสุทธิ์ใจไม่เสแสร้งไม่มีอุบายใดๆต่อพระเจ้า และเขาไม่พูดมากซ้ำซากหลายคำเพื่อหวังว่าพระเจ้าจะได้ยินได้ฟัง เพราะพระเจ้าทรงรู้ความต้องการในใจของเขาอยู่แล้ว คนที่มีนิสัยชอบพูดโกหกหลอกลวงไม่จริงใจ หรือมีนิสัยชอบพูดพล่อยๆซ้ำซาก เมื่อมาอธิษฐานต่อพระเจ้า ก็จะเอานิสัยแบบนี้มาด้วย แต่พระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ พระเจ้าหยั่งรู้เข้าไปในความคิดจิตใจของมนุษย์ได้ จึงไม่จำเป็นต้องเสแสร้งปั้นแต่งคำพุดให้หรูหราสวยงาม แต่ให้พูดกับพระเจ้าอย่างจริงใจไม่เสแสร้ง และให้มีความเชื่อว่า พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานทุกคำอยู่แล้ว โดยไม่ต้องสงสัยเลย
ถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกเอ๊ะขึ้นมาในใจจากข้อพระคัมภีร์ มัทธิว 6:7-8 ที่พระเยซูสอนสาวกว่า ไม่ต้องพูดซ้ำซาก เพราะพระเจ้ารู้อยู่แล้วว่าเราต้องการอะไร มันก็น่าแปลกใจใช่มั๊ยครับว่า ในเมื่อพระเจ้ารู้อยู่แล้วว่าเราต้องการอะไร แล้วทำไมเรายังต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าอีก ? คุณเคยสงสัยตรงนี้มั๊ยครับ แล้วผมสัมผัสได้ว่า พระวิญญาณก็ยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดูในคำถามของผม พระองค์ตอบว่า มีหลายๆเหตุผลที่ว่า ทำไมเจ้ายังจะต้องอธิษฐานต่อพระเจ้า ทั้งๆที่พระเจ้ารู้ใจเจ้าอยู่แล้วว่าต้องการอะไร แล้วพระวิญญาณทำให้ผมระลึกได้ถึง
สดุดี 145:18 ที่กล่าวว่า พระยาห์เวห์สถิตใกล้ชิดทุกคน ที่ร้องทูลขอต่อพระองค์ คือทุกคนที่ร้องทูลพระองค์ด้วยใจจริง
แล้วพระองค์ก็สอนผมว่า การที่เจ้ายังต้องอธิษฐานร้องทูลขอสิ่งจำเป็นใดๆต่อพระเจ้าด้วยน้ำใสใจจริง ก็เพื่อจะได้สัมผัสถึงการทรงสถิตใกล้ชิดของพระองค์ ถ้าเจ้าคิดว่า พระเจ้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องการอะไร แล้วเจ้าก็ไม่อธิษฐานเลย เจ้าก็จะไม่สัมผัสถึงการทรงสถิตอยู่ด้วย แต่เมื่อคิดและพูดออกมา มันก็จะทำให้ตัวเจ้าเกิดความสนิทสนมใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น เพราะน้ำพระทัยพระเจ้าคือ พระองค์ต้องการความสัมพันธ์สนิทสนมมากกว่าแค่ตอบคำอธิษฐานเฉยๆ
โอ้ไอซี ผมเริ่ม get มากขึ้น สมมุติว่าคุณคิดว่า พ่อแม่รู้แล้วว่าคุณต้องการอะไร แล้วคุณก็ไม่มาพูดคุยอะไรเลยกับพวกท่าน มันก็จะห่างเหินใช่มัียครับ ไม่สนิทสนมกัน แต่เมื่อได้สนทนาพูดคุยกัน มันก็ทำให้เกิดความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน เวลาคุณพูดอะไรมันก็สะท้อนถึงความเชื่อว่าพระเจ้ามีตัวตนและรับฟังคุณอยู่ คุณจึงเกิดความสนิทสนมกับพระองค์มากขึ้น นี่คือเหตุผลแรกว่า ทำไมพระเจ้ารู้อยู่แล้วว่าเราต้องการอะไร แต่เราก็ยังต้องอธิษฐานด้วยการคิดในใจหรือพูดออกไปอีก เพราะมันช่วยตอกย้ำความเชื่อถึงการมีตัวตนและการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ในชีวิตคุณครับ
ใน (ข้อ 3-5) ดาวิดกล่าวว่า 3เมื่อพระองค์ทรงลองจิตใจของข้าพระองค์ และเสด็จเยี่ยมเยียนข้าพระองค์ในเวลากลางคืน เมื่อทรงทดสอบข้าพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ทรงพบความอธรรมในข้าพระองค์เลยปากของข้าพระองค์ก็มิได้ละเมิด 5ย่างเท้าของข้าพระองค์แนบสนิทกับวิถีของพระองค์
ในข้อ 3-5 นี้ คุณจะเห็นว่า ดาวิดมั่นใจในความบริสุทธิ์ใจของเขา และขอให้พระเจ้าชันสูตรใจเขา แล้วจะไม่พบความอธรรมใดๆในปากและการกระทำของเขา ทุกย่างก้าวของเขาจะแนบสนิทกับหนทางของพระองค์ และที่กล่าวว่า ขอทรงเสด็จมาเยี่ยมในเวลากลางคืน หมายถึงการชันสูตรใจนี้ พระเจ้าเช็คใจเขาได้แม้แต่ตอนที่เขาหลับ ซึ่งก็คือการสำรวจค้นเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเขาเลย เพราะความคิดในขณะที่หลับล้วนออกมาจากจิตใต้สำนึก แล้วพระองค์จะเห็นว่า เขามีความบริสุทธิ์ใจและเดินในหนทางของพระเจ้าเสมอ
ถึงตรงนี้ ให้คุณหยุดชั่วขณะและอธิษฐานขอเรม่าห์พิเศษจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์มีอะไรจะบอกคุณเป็นพิเศษหรือไม่อย่างไร สำหรับผม เรม่าห์ที่ได้รับคือ
เมื่อเรามาอธิษฐานกับพระเจ้า เราต้องเข้ามาด้วยใจที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ ทั้งในจิตสำนึกและในจิตสำนึกครับ แต่เนื่องจากเรามักเผลอทำบาปต่อพระเจ้าอยู่บ่อยๆ อาจจะรู้ตัวและไม่รู้ตัว เราจึงจำเป็นต้องทบทวนชีวิตตัวเองด้วย และขอให้พระวิญญาณเปิดเผยสำแดงให้เรารู้ตัวว่า เราได้ทำอะไรที่ผิดต่อน้ำพระทัยพระเจ้าบ้างหรือไม่ เมื่อรู้ตัวแล้ว ก็นำมาสารภาพขอโทษต่อพระองค์ เพื่อใจเราจะได้ใสสะอาดไม่รู้สึกฟ้องผิดใดๆ เราจะได้อธิษฐานแล้วมีความมั่นใจว่าพระเจ้าจะฟัง เพราะถ้าเรารู้สึกฟ้องผิดอยู่ เราจะไม่มั่นใจว่าพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐาน แต่ถ้าเราสารภาพบาป พร้อมกับระลึกถึงพระโลหิตที่สะอาดบริสุทธิ์ของพระเยซูที่หลั่งออกเพื่อเราบนกางเขน เราก็จะมั่นใจว่า พระเจ้าจะอภัยให้ ความรู้สึกฟ้องผิดก้จะหายไป และทำให้เรามั่นใจเหมือนที่ดาวิดมั่นใจได้ครับ สมัยก่อนพวกชาวยิวเมื่อมานมัสการพระเจ้าที่พระวิหาร พวกเขาต้องเอาเลือดแพะแกะมาถวายบูชาล้างบาป และต้องทำทุกครั้งที่สารภาพบาป แต่ในยุคของเรานี้ เราสารภาพบาปและรับการล้างบาปได้โดย คิดถึงพระโลหิตพระเยซูที่กางเขน แล้วใช้ความเชื่อในรับการล้างบาปโดยโลหิตของพระองค์ เราจึงไม่ต้องไปหาสัตว์มาบูชาล้างบาปเหมือนชาวยิวแล้วครับ เมื่อใจคุณสะอาดแล้วด้วยความเชื่อในการล้างบาปโดยโลหิตบริสุทธิ์ของพระเยซู คุณก้จะไม่รู้สึกฟ้องผิดในใจอีก และเข้ามาสื่อสารกับพระเจ้าได้อย่างราบรื่น เหมือนที่ดาวิดมั่นใจว่า ถ้าพระเจ้าทรงชันสูตรจิตใจของเขาแล้ว ก็จะพบว่าเขามีใจบริสุทธิ์ในการมาเข้าเฝ้าพระเจ้าครับ
ใน (ข้อ 6-9) ดาวิดกล่าวว่า 6ข้าพระองค์ร้องทูลว่า ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์จะทรงตอบข้าพระองค์ ขอทรงเอียงพระกรรณฟังถ้อยคำของข้าพระองค์ด้วยเถิด 7ข้าแต่พระผู้ช่วยของบรรดาผู้แสวงหาที่ ลี้ภัยจากปฏิปักษ์ของเขา ณ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ ขอทรงสำแดงความรักมั่นคงของพระองค์อย่างมหัศจรรย์ 8ขอทรงรักษาข้าพระองค์ดังแก้วตา ทรงซ่อนข้าพระองค์ไว้ภายใต้ร่มปีกของพระองค์ 9ให้พ้นจากคนอธรรมผู้ล้างผลาญและจากศัตรูผู้คอยเข่นฆ่าซึ่งล้อมข้าพระองค์ไว้โดยรอบ
ตรงนี้เรม่าห์ที่ผมได้รับคือ พระองค์ทำให้ผมประทับใจกับคำว่า "ขอทรงรักษาข้าพระองค์ดั่งแก้วตา" คือตอนนี้ดาวิดกำลังโดนศัตรูจู่โจมเข้ามาประชิดตัวจะทำร้าย เป็นตอนที่กษัตริย์ซาอูลไล่ฆ๋าเขาในถิ่นทุรกันดารนะครับ
และพระวิญญาณก็ทำให้ผมระลึกได้ถึง เฉลยธรรมบัญญัติ 32:10 ที่กล่าวว่า "พระองค์ทรงพบเขาในแดนทุรกันดาร ในที่เวิ้งว้างที่เต็มไปด้วยเสียงโหยหวน พระองค์ทรงโอบอุ้มเขาไว้ เอาใจใส่เขา และทรงปกป้องเขาดั่งแก้วตาของพระองค์"
เห็นมั๊ยครับพี่น้อง มีคำว่า แก้วตา เช่นกัน พระเจ้าจะปกป้องเราเหมือนแก้วตาของพระองค์เลยนะครับ แก้วตาคืออวัยวะที่บอบบางมากๆของมนุษย์เรา เพราะถ้าแก้วตาถูกทำลาย เราจะตาบอดทันทีครับ ซึ่งสะท้อนถึงว่า คริสเตียนเรามีคุณค่า มีความสำคัญมากๆต่อพระเจ้า เปรียบเหมือนแก้วตาของพระองค์เลย พระองค์จะโอบอุ้ม เอาใจใส่ และปกป้องเราจากอันตรายครับ ตรงนี้ดาวิดประกาศความเชื่อว่า พระเจ้าทรงรักและทะนุถนอมเขาดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ เขาจะได้รับการปกป้องลี้ภัยใต้ปีกของพระองค์แน่นอน ดังนั้น พี่น้องครับ ถ้าคุณกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่โตที่จู่โจมเข้ามา คุณสามารถอธิษฐานขอพระเจ้าช่วย ขณะเดียวกัน ก้ให้ประกาศความเชื่อมั่นในพระคุณความรักของพระเจ้าได้นะครับ ประกาศความเชื่ออย่างมั่นใจว่า คุณเป็นลูกสุดที่รักของพระองค์ และพระองค์จะปกป้องคุณราวกับแก้วตาของพระองค์ อย่าปล่อยให้มารซาตานมาโกหกหลอกลวงวา่ พระเจ้าไม่รักคุณและคุณจะพินาศกับปัญหาที่จู่โจมเข้ามาแน่ๆ คุณต้องปฎิเสธและขับไล่ความคิดของมารออกไปโดยเร็ว และแทนที่ด้วยการประกาศความเชื่อในความรักความเมตตของพระเจ้าที่มีต่อคุณ ซึ่งคุณมีคุณค่าต่อพระองค์ราวกับแก้วตาดวงใจของพระองค์ครับ
ใน (ข้อ 10-14) ดาวิดอธิษฐานขอพระเจ้าลงโทษศัตรู ผมจะไม่อ่านนะครับ ก็เป็นการมอบศัตรูไว้กับพระเจ้า โดยดาวิดจะไม่ตอบโต้ใดๆ
ใน (ข้อ 15) ดาวิดกล่าวว่า ส่วนข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะเห็นพระพักตร์ของพระองค์ในความชอบธรรม เมื่อข้าพระองค์ตื่นขึ้น ข้าพระองค์จะอิ่มเอิบใจด้วยพระลักษณะของพระองค์
เรม่าห์ที่ผมได้รับคือ ในขณะที่ดาวิดหลับ จิตใต้สำนึก หรือจิตไร้สำนึกรู้ตัวของเขา จะทำให้เขาได้เห็นความดีความชอบธรรมของพระเจ้า และเมื่อเขาตื่นขึ้น จิตสำนึกที่รู้ตัวของเขา ก็จะทำให้เขาได้อิ่มเอิบใจด้วยพระลักษณะของพระองค์ พระลักษณะของพระเจ้าได้แก่อะไรบ้าง หลักๆก็คือ พระเจ้าทรงเป้นความรัก เป้นความสัตย์ซื่อ บริสุทธิ์และยุติธรรมครับ เขาอิ่มเอิบใจด้วยความมั่นใจในลักษณะนี้ของพระเจ้า ถ้าคุณไม่มั่นใจว่าพระเจ้าจะฟังคำอธิษฐานของคุณหรือเปล่า ก็ให้คุณเลียนแบบดาวิดคือ ประกาศความเชื่อในพระลักษณะดีงามเหล่านี้ของพระเจ้าซ้ำให้ตัวเองได้ยินบ่อยๆ จนความเชื่อฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก เชื่อทั้งยามหลับและยามตื่นแบบดาวิด แล้วชีวิตคุณจะไม่ขาดการอัศจรรย์เลย อาเมนมั๊ยพี่น้อง สำหรับผู้เชื่อในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าใช้กฎบัญญัติมาควบคุมบังคับให้เป็นคนดี ถ้าไม่เชื่อฟังทำตามจะถูกพิพากษา แต่สำหรับผู้เชื่อในพันธสัญญาใหม่ พระเจ้าใช้พระคุณความรักความเมตตามาเปลี่ยนแปลงเรา มาทำให้เรากลับใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงจากพระองค์ ถ้าไม่เชื่อฟังเราก็จะถูกตีสอน แต่ไมได้ถูกพิพากษานะครับ ในพันธสัญญาใหม่ พระเจ้าให้พระคุณความรักก่อน แล้วจึงฝึกวินัยเรา พระเจ้ายังมีเป้าหมายให้เราเป็นคนดีแบบที่พระองค์ต้องการให้เราเป็น แต่พระองค์เปลี่ยนวิธีใหม่แล้วครับ ไม่ได้ใช้วิธีเดิมแบบพันธสัญญาเดิมตั้งแต่วันที่พระเยซูมาบังเกิด ซึ่งก็คือวิธีใหม่แล้ว ดังนั้น อย่ามัวหันไปปฎิบัติตัวแบบคนในพันสัญญาเดิมอยุ่อีก
คุณควรจะเข้าใจว่า ขณะนี้ คุณได้เกิดมาดูโลก เป็นเหตุการณ์หลังจากพระเยซูตายอย่างทรมานบนกางเขนไปแล้ว คุณจึงอยู่ในวิธีใหม่ของพระเจ้าแล้ว ดังนั้น ให้คุณอ่านพระคัมภีร์ใหม่มากๆนะครับ ส่วนพระคัมภีร์เดิม อ่านไว้แค่เพื่อให้เข้าใจความเป็นมาจากอดีตถึงปัจจุบัน
คล้ายๆสมัยนี้เราอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองแบบราชาธิปไตยเหมือนสมัยก่อน เราก็ต้องปฎิบัติตัวตามระบอบการปกครองใหม่ จริงมั๊ยครับพี่น้อง
เช่นเดียวกัน ตอนนี้เราอยู่ภายใต้การปกครองระบอบใหม่ของพระเจ้า เป็นระบอบที่ปกครองด้วยพระคุณความรักของพระเจ้า ที่มาทางพระเยซูคริสต์ เราจึงไม่ต้องไปปฎิบัติตัวเหมือนคนในระบอบการปกครองสมัยก่อนอีก อาเมนมั๊ยครับพี่น้อง
เอาหล่ะครับ มาร่วมสนุกกัน เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ คุณได้รับเรม่าห์อะไร ก็ให้เขียนคอมเม้นท์ลงในใต้คลิปนี้นะครรับ คุณเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้แล้วหรือยังว่า คุณต้องมาเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์ไม่เสแสร้งใดๆ ? และคุณมั่นใจหรือยังว่า คุณเป็นลูกสุดที่รักปานแก้วตาดวงใจของพระเจ้า คุณไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวกับอันตรายใดๆ เพราะคุณสามารถลี้ภัยอยู่ใต้ปีกของพระองค์เสมอ การที่คุณมั่นใจเช่นนี้ เป็นเพราะมั่นใจในความดีของตัวเอง หรือมั่นใจในพระลักษณะของพระเจ้า? คุณมาหาพระเจ้าด้วยความมั่นใจแบบไหน?
เข้าเฝ้าพระเจ้าวันนี้ ให้คุณหยุดและอธิษฐานขอพระวิญญาเปิดเผยสำแดงให้คุณได้รู้ว่า คุณเป็นคนอย่างไร ? คุณมาหาพระเจ้า้ ด้วยการโฟกัสที่ความดีของตัวเอง หรือมาหาพระเจ้า ด้วยการโฟกัสที่ความดีของพระเจ้า ? โฟกัสที่พระคุณความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อคุณ หรือโฟกัสที่การเป็นคนเคร่งศาสนาของคุณ ? คุณกำลังโฟกัสที่อะไรแน่?
พรุ่งนี้เราจะเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยกัน เพื่อจะเข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ดีเลิศ แล้วชีวิตคุณจะไม่ขาดการอัศจรรย์เลย คุณจะกลายเป็นท่อพระพรใหญ่สู่ผู้คนในวงกว้างมากมายได้ อาเมนมั๊ยพีน้อง ขอพระเจ้าอวยพร